
ปัญหาประการหนึ่งของหนังจีนยุค CG คือ ถ้าเรื่องไหนเน้น CG มากๆ ล่ะก็ เนื้อหาและความแน่นของเรื่องมักจะโดนลดบทบาทลงครับ ส่วนจะโดนลดมากจนไม่เหลือเลยหรือยังพอกล้อมแกล้มดูสนุกอยู่บ้าง ก็ต้องแล้วแต่กรณี
ปัญหาประการหนึ่งของหนังจีนยุค CG คือ ถ้าเรื่องไหนเน้น CG มากๆ ล่ะก็ เนื้อหาและความแน่นของเรื่องมักจะโดนลดบทบาทลงครับ ส่วนจะโดนลดมากจนไม่เหลือเลยหรือยังพอกล้อมแกล้มดูสนุกอยู่บ้าง ก็ต้องแล้วแต่กรณี
ได้ยินกิตติศัพท์มาว่าหนังชุดนี้มีดีใช้ไดก็เลยรอดูอยู่พักหนึ่งครับ (เพราะตอนที่รู้ หนังยังไม่เข้าไทย) ครั้นพอได้ดูก็ยอมรับเลยครับว่าของเขาดีจริง ดูสนุกในระดับที่น่าพอใจทีเดียว
หยิบ โหดตัดโหด มาดูเมื่อไร ต้องหยิบ โหด เลว ดี มาดูต่อ ไม่งั้นลมปราณความมันส์จะขาดช่วง!
จบครบไตรภาคจนได้ครับสำหรับหนังชุดนี้ ซึ่งภาคแรกผมว่ายังโอเคนะ ทำออกมาสนุกในระดับกลางๆ แต่พอมาภาค 2 นี่ออกแนวเลอะซะเยอะ เนื้อเรื่องจริงๆ มันเหมือนจะมีอะไรอยู่ไม่น้อย แต่ดันเล่าให้มันไม่มีประเด็นไปซะงั้น และเน้นมุกขำที่บางทีก็ไม่ค่อยขำซะครึ่งค่อนเรื่อง
หนังภาคแรกผมถือว่าทำออกมาเอาฮา ชวนขำ ดูได้แบบเพลินๆ แล้วก็ยังแซวหนังคนตัดคนได้น่ารักไม่น้อย
From Vegas to Macau อาจเทียบชั้นหนังไพ่ระดับตำนานอย่างคนตัดคนไม่ได้ แต่ถ้าดูเอาสนุกเอาขำล่ะก็ ถือว่าพอได้อยู่ครับ
ทีนี้สลับมาหนังจีนบ้างล่ะนะครับ กับยอดภาพยนตร์ที่จัดว่าเป็นต้นแบบของหนังแนวเซียนพนันยุคใหม่ของฮ่องกง จากเดิมที่หนังแนวพนันมักจะเดินเรื่องแบบเนิ่บๆ หรือไม่ก็เน้นดราม่า (แบบหนังชุดชื่อดังในอดีตอย่าง คมเฉือนคม) ก็กลายมาเป็นหนังเซียนไพ่สุดมันส์ที่แข่งกันแบบเร้าใจ งัดกลยุทธ์มาเฉือนกัน ผสมด้วยแอ็กชันและความขำ
การดู โจโฉ ฉบับนี้ให้อารมณ์เหมือนตอนดู ขงจื้อ (ที่เผอิญแสดงโดยโจวเหวินฟะ เหมือนกัน)
ผลงานแอ็กชัน+ชีวิต+ตลกนิดๆ โดย John Woo ครับ ซึ่งแฟนๆ ขาประจำดูแล้วอาจรู้สึกว่าหนังมันไม่ค่อย Woo สักเท่าไร เพราะอะไรต่อมิอะไรมันดูเบา ไม่เข้มข้นหนักเครื่องเหมือนหนังเรื่องอื่นๆ ซึ่งจริงๆ มันก็มีสาเหตุครับ และเหตุที่ว่าก็มาจากเรื่องเงินๆ ทองๆ นั่นเอง
ตอนผมดูหนังเรื่องนี้ครั้งแรก ยอมรับว่าไม่รู้สึกประทับใจอะไรนัก ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะเราโตมากับหนังจีนกำลังภายในสารพัดแบบ ตั้งแต่จีนชุดอย่างมังกรหยก, ชอลิ้วเฮียง, 8 เทพอสูรมังกรฟ้า ฯลฯ ที่เช่าวีดีโอมาดูทีก็ลาก 10 ม้วน (ขั้นต่ำ) กลับบ้านจนกล้ามขึ้น หรือหนังจีนเข้าโรงอย่าง เดชคัมภีร์เทวดา ของฉีเคอะ นี่ยังไงก็ยังรู้สึกโปรดปรานอยู่ในความทรงจำ (โดยเฉพาะภาค 2 ที่หลินชิงเสียสวมวิญญาณตงฟางปุ๊ป้ายได้เลิศล้ำ จนยากหาใครมาเทียม)