
มนุษย์เราเกิดมาเห็นโลกไม่เหมือนกันครับ บางคนเห็นในสิ่งที่เป็นบวก บางคนมองแต่แง่ลบ บางคนเห็นตามที่มันเป็นจริง หรือบางคนก็เห็นมันในแบบที่ต่างออกไป
มนุษย์เราเกิดมาเห็นโลกไม่เหมือนกันครับ บางคนเห็นในสิ่งที่เป็นบวก บางคนมองแต่แง่ลบ บางคนเห็นตามที่มันเป็นจริง หรือบางคนก็เห็นมันในแบบที่ต่างออกไป
อีกหนึ่งหนังแนวสร้างแรงบันดาลใจที่สร้างจากเรื่องจริงของ เจสซี่ โอเว่น นักวิ่งผิวสีที่เดินทางไปแข่งขันกีฬาโอลิมปิกเมื่อปี 1936 ที่จัดในในประเทศเยอรมนี อันเป็นยุคสมัยที่อดอล์ฟ ฮิตเลอร์และพรรคนาซีกำลังเรืองอำนาจ
ภาคต่อที่มาพร้อมนักแสดงชุดใหม่ (ตามฟอร์มของหนังภาคต่อที่ทำลงแผ่นเลย) ซึ่งไม่ได้เกี่ยวอะไรกับภาคแรก นอกจากเป็นเรื่องของสาวน้อยที่รักในกีฬาเซิร์ฟบอร์ดเหมือนกัน
ทุกวันนี้ ผมรู้ตัวเลยครับว่าตัวเองรู้สึกในเชิงลบกับรถมอเตอร์ไซค์ หลังจากเคยล้ม 2 รอบติดๆ กัน (เพราะคนอื่นขับมาเกี่ยว), โดนมอเตอร์ไซค์จ่อก้นเกือบทุกครั้งที่ออกไปเดินตรงฟุตบาทแถวบ้าน (ย้ำครับว่า ฟุตบาท ไม่ใช่ถนน)
ด้วยหน้าหนัง แล้วก็อะไรอีกหลายๆ อย่างทำให้หนังเรื่องนี้ค่อนข้างจะนอกสายตานะครับ แม้แต่ผมก็รู้สึกเช่นนั้นด้วย แล้วพอมาเจอ พี่แบงค์ วงแคลช (ปรีติ บารมีอนันต์) นำแสดงผสมกับหน้าหนังสไตล์วัยรุ่นอุดมความรุนแรง ก็พาลคิดไปถึงเรื่อง พันธุ์เอ็กซ์ เด็กสุดขั้ว ที่มีผลลัพธ์ไม่ค่อยน่าจดจำสักเท่าไร จริงๆ ผมก็คงจะไม่ได้เข้าไปชมหรอกครับถ้าหากไม่เผอิญมีคนมาสะกิดให้ลองดูก่อนแล้วค่อยว่ากัน… แล้วผมก็ลองเรียบร้อย
เป็นการโคจรมาเจอกันอีกครั้งของ Paul Newman และผู้กำกับ George Roy Hill หลังจากร่วมงานกันจนดังระดับร้อยล้านมาแล้วใน Butch Cassidy and the Sundance Kid และ The Sting พวกเขาก็หันมาทำหนังตลกแนวจิกกัดวงการกีฬาฮ็อคกี้ครับ
ภาคต่อของหนังแอ็คชั่นเกรดบีครับ หลังจากผมเคยเขียนถึงภาคแรกไปเมื่อนานมาแล้ว กับการกลับมาของ เจค ไรย์ (Don ‘The Dragon’ Wilson) นักสู้ยอดฝีมือ ที่คราวนี้เขาไปเที่ยวมะนิลาตามคำชวนของเพื่อน
วันนี้ง่วงจัด ขอเล่าที่มันง่ายๆ ก่อนแล้วกันนะครับ จะได้ไม่ต้องสาธยายอะไรมาก พวกหนังทุนต่ำนี่ว่าง่าย ดีก็ดี ไม่ดีก็ดี เอ้ะ ยังไง
ออกตัวว่าไม่ใช่คอหนังว่าด้วยความเร็ว แต่สำหรับ Need for Speed แล้ว ผมรู้สึกเพลินกับมันไม่น้อยเลยครับ
ช่วงนี้ชีวิตวนเวียนอยู่กับเบสบอลครับ วันก่อนฟินกับซีรี่ส์ Roosevelt Game วันนี้ได้ดู Million Dollar Arm อีก