
Godzilla ฉบับล่าสุด อาจไม่สะใจคอหนังที่มุ่งหมายฉากแอ็กชันมันส์เร้าใจตื่นเต้น (แบบฉบับปี 1998)
Godzilla ฉบับล่าสุด อาจไม่สะใจคอหนังที่มุ่งหมายฉากแอ็กชันมันส์เร้าใจตื่นเต้น (แบบฉบับปี 1998)
ความรู้สึกที่ผมมีต่อ The Meg นั้นแบ่งออกได้เป็น 2 ครึ่งครับ นั่นก็คือครึ่งแรกกับครึ่งหลัง ซึ่งความรู้สึกที่มีต่อแต่ละครึ่งนั้นจัดว่าต่างกันพอสมควร
ก่อนพบกับรีวิวยาวๆ ตามแบบฉบับ เรามาเจอะเจอรีวิวสั้นๆ กันหน่อยดีไหมครับ เพื่อประหยัดเวลาสำหรับคนที่อยากบริโภครีวิวแบบ Fast Read อ่านปุ๊บตัดสินใจปั๊บได้เลยว่าจะดูไม่ดู ก็ขอเข้าเรื่องแบบตรงประเด็นเลยนะครับ
ใครเคยดูหนังแล้วในหัวของเรามันตะโกนก้องเกือบตลอดว่า “โว้วววววววววววว เฮ้ยยยยยยยยยยย AGhhhhhhhh” บ้างไหมครับ? คือตะโกนด้วยความทึ่งในตัวหนังน่ะครับ (ไม่ว่าจะทึ่งบวกหรือทึ่งลบก็เถอะ 555)
และแล้วเรื่องของ The Hunger Games ก็มาถึงบทสรุปครับ เมื่อแคทนิส (Jennifer Lawrence) และพรรคพวกต้องประจัญบานกับประธานาธิบดีสโนว์ (Donald Sutherland) ในขั้นเด็ดขาด ก็มีการต่อสู้ มีการล้มเจ็บล้มตายกันตามสูตร
ผมรู้สึกเพลินกับ Terminator Genisys ในมุมความเป็นหนังไซไฟมากกว่าในแง่แอ็กชันครับ
The Hunger Games: Mockingjay – Part 1 คือภาคคั่นเวลาก่อนทุกอย่างจะไปสิ้นสุดใน Part 2 ซึ่งถ้าใหสรุปคร่าวๆ แล้วก็ถือเป็นภาคที่ดูได้เรื่อยๆ แต่ไม่ได้มีความอลังหรือความลุ้นเท่า 2 ภาคแรก
สารภาพตามตรงว่าไม่ได้เป็นแฟนพันธุ์แท้หนังชุดนี้ครับ คือก็ตามดูทุกภาคนั่นแหละ แต่อาจไม่ได้ถูกจริตโดนใจอะไรขนาดนั้น ชื่อหุ่นในเรื่องก็จำได้แค่ อ็อปติมัส, บัมเบิลบี แล้วก็เมกาตรอนเท่านั้น (ยอมรับว่างงทุกทีเวลาหุ่นหลายๆ ตัวมาตีกัน ไม่รู้ใครเป็นใคร)
การดู Fantastic Four ล่าหลังกว่าคนอื่นคงถือเป็นความโชคดีประการหนึ่งครับ เพราะหลังจากผ่านตาคำบ่นของคนดูมามากๆ เข้า อันว่าความคาดหวังของเราก็ลดต่ำลงตามลำดับ จนก่อนจะตีตั๋วดูนี่ทำใจได้สบายๆ ครับ คือหนังจะแย่แค่ไหนก็รับได้แล้วล่ะ
หากเอลเลน ริปลี่ย์ คือคู่ปรับตลอดกาลของเอเลี่ยนแล้วล่ะก็ นายเบิร์ต กัมเมอร์ (Michael Gross) นี่ก็ถือว่าเป็นคู่แค้นอมตะของเหล่าทูตนรกล้านปีล่ะครับ