ณ ช่วงเวลาที่ผมเขียนนี้ม่ใช่วันคริสต์มาส… อันที่จริงคือเขียนในเดือนเมษายนอันโคตรจะร้อนครับ แต่พอดี HBO Go มีเรื่องนี้มาให้ดูผมก็รีบดูโดยพลันครับ เพราะไม่รู้ว่าหนังจะโดนถอดออกเมื่อไร เจอปุ๊บก็ต้องรีบดูแม้จะไม่เข้ากับเทศกาลก็เถอะ
You, Me & the Christmas Trees ว่าด้วยเรื่องของ แจ็ค คอนเนอร์ (Benjamin Ayres) เจ้าของฟาร์มต้นคริสต์มาสรุ่นที่ 4 ของตระกูลที่สืบทอดกิจการนี้มากว่าร้อยปี แต่ปีนี้ฟาร์มของเขาประสบปัญหา กลายเป็นว่าต้นไม้ของฟาร์มที่ถูกตัดไปประดับตามบ้านมีอาหารใบซีดใบเหลือง และหากแจ็คแก้ปัญหาไม่ได้ กิจการของครอบครัวก็อาจต้องพบกับจุดจบ
แจ็คเลยขอความช่วยเหลือจาก โอลิเวีย อาร์เดน (Danica McKellar) นักพฤกษศาสตร์สาวเจ้าของฉายา ผู้รู้ใจต้นคริสต์มาส (Christmas Tree Whisperer) ให้มาไขปริศนาว่าเกิดอะไรขึ้นกับฟาร์มของเขากันแน่ สำหรับเรื่องราวต่อจากนั้นก็คงเดากันได้ไม่ยากจริงไหมครับ ระหว่างการทำงานแก้ปัญหาเรื่องต้นไม้ก็จะกลายเป็นโอกาสให้พวกเขาได้ใช้เวลาร่วมกัน ก่อนจะรู้สึกดีๆ ต่อกันในที่สุด
เป็นหนังรอมคอมที่ดูแล้วมีความสุขครับ อย่างแรกที่ถือเป็นของดีเลยคือบรรยากาศในหนังที่ได้อารมณ์เทศกาลคริสต์มาสแบบสุดๆ ตั้งแต่ภาพต้นไม้ที่ปกคลุมด้วยหิมะ เรื่อยไปจนถึงภายในบ้านและสถานที่ต่างๆ ของเมืองที่ประดับประดาไปด้วยของตกแต่งสวยๆ ไหนจะการจัดแสงจัดไฟอีก ผมว่าหนังทำในส่วนนี้ได้ดีเลยล่ะครับ
ของดีต่อมาคือเคมีที่ถือว่าเข้ากันของพระนาง แจ็คก็ดูเป็นหนุ่มอารมณ์ดีขี้เล่น แต่อาจมีช่วงเครียดบ้างเพราะกิจการของตระกูลกำลังแขวนอยู่บนเส้นด้าย แต่โดยรวมพี่เขาก็ดูมีเสน่ห์ดีครับ เช่นเดียวกับโอลิเวียที่ดูเป็นสาวสดใสเปี่ยมพลัง จุดที่ผมชอบมากคือเวลาเธอพูดเกี่ยวกับเรื่องต้นไม้ หรือแสดงความรู้เกี่ยวกับพฤกษศาสตร์นี่แววตาท่้าทางมันใช่น่ะครับ ยิ่งตอนแก้ปัญหาได้ คิดทางออกได้นี่ท่าทางมันบอกเลยน่ะว่าเธอดีใจแบบมากมายจริงๆ
ก็ขอชม Ayres กับ McKellar ครับที่เล่นคู่กันได้แบบน่ารัก ต่างฝ่ายต่างรับส่งพลังให้กันตลอดทั้งเรื่อง แม้บางช่วงบางจังหวะอาจแอบรู้สึกว่าคู่นี้ดูปิ๊งกันไวและปิ๊งกันแรงเหลือเกินก็ตาม แต่ก็พอจะมองข้ามได้ครับ เพราะพวกเขาน่ารักน่ะ ดูแล้วยังไงก็ต้องเชียร์ให้พวกเขาตกร่องปล่องชิ้นกัน
จุดชอบถัดมาก็คือดาราสมทบครับ ปกติหนังรอมคอมของ Hallmark ระยะหลังนี่ตัวละครแวดล้อมจะไม่ค่อยมีโมเมนต์ของตัวเองสักเท่าไร แต่กับเรื่องนี้ถือว่าพอมีครับ ไม่ว่าจะ Linda Darlow ในบทเพ็กกี้ แม่ของแจ็คที่อยากให้เขาได้พบคนที่รักเสียที, Jill Morrison ในบทลิซ่า เพื่อนของแจ็คที่ผมชอบนะ ตอนที่เธอพยายามบอกกับแจ็คว่าอย่าปล่อยให้โอลิเวียหลุดมือ มันดูจริงใจจริงๆ น่ะครับ
และสำหรับคอหนังยุค 80 อาจจะรู้สึกคุ้นหน้าตัวละครที่ชื่อดเวน โคลสัน เจ้าของฟาร์มต้นคริสต์มาสคู่แข่งของครอบครัวคอนเนอร์ รายนี้ในแง่การแสดงก็ถือว่ากลางๆ ครับ ไม่ได้เด่นจัดๆ ไม่ได้ร้ายจนถึงขีด แต่ก็ดูร้ายในระดับที่น่าจดจำและไม่น่ารำคาญจนเกินไป ซึ่งการที่ผมมาพูดถึงนี่ก็เพราะบทนี้แสดงโดย Jason Hervey ซึ่งผมว่าหน้าตาคุ้นมากๆ พอไปค้นก็ถึงรู้ว่าใช่แล้ว นายคนนี้แหละที่โผล่หนังในยุค 80 บ่อยๆ ไม่ว่าจะเรื่อง Back to the Future ภาคแรก (เล่นเป็นน้องชายของลอเรน แม่ของมาร์ตี้น่ะครับ), Police Academy 2: Their First Assignment, Pee-wee’s Big Adventure และ The Monster Squad – ก็ไม่ได้เจอหน้าเขานานครับ แต่เจออีกทีก็ยังจำได้
ในแง่เนื้อเรื่องอาจไม่มีอะไรใหม่ครับ จริงๆ มันคือหนังรอมคอมวันคริสต์มาสตามสูตรนั่นแหละ เพียงแต่จะเปลี่ยนประเด็นหลักไปเรื่อยๆ โดยคราวนี้เกี่ยวกับต้นคริสต์มาส ซึ่งหนังก็เล่าได้โอเคนะครับ ผมชอบตรงที่หนังไม่ได้เอาประเด็นเรื่องต้นคริสต์มาสมาใส่แบบงั้นๆ ประมาณว่าพูดถึงแค่นิดหน่อยแล้วปล่อยให้พระนางจีบกันเป็นหลัก กับเรื่องนี้นี่พระนางจีบกันก็จริง แต่หนังก็ไม่ทิ้งเรื่องการแก้ปัญหาฟาร์มต้นคริสต์มาส ยังคงเดินเรื่องขนาดกันไป มันเลยทำให้หนังดูมีรสชาติ มีความกลมกล่อมในระดับหนึ่ง
แล้วระหว่างทางก็มีองค์ประกอบดีๆ ใส่ลงมาให้เราติดตามหนังไปเรื่อยๆ อย่างมีอันหนึ่งที่ผมชอบครับ นั่นคือประเพณีของบ้านคอนเนอร์ที่จะติดของประดับบนต้นคริสต์มาสเพิ่มปีละ 1 ชิ้น โดยแต่ละชิ้นในแต่ละปีก็จะมีความหมายเตือนให้ระลึกถึงเหตุการณ์สำคัญในปีนั้นๆ เช่น ปีที่แจ็คเกิด หรือปีที่มีคนในครอบครัวไปออกรบในสงคราม ฯลฯ
หรือบทพูดชวนคิดอย่างเช่นที่แจ็คบอกว่า “สิ่งสำคัญอาจไม่ใช่ต้นคริสต์มาส แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นรอบๆ ต่างหาก” ซึ่งก็หมายถึงสำหรับคนขายต้นคริสต์มาสอย่างเขาแล้ว ต้นคริสต์มาสอาจไม่ใช่ไฮไลท์ที่สำคัญที่สุด แต่มันสำคัญตอนที่คนในครอบครัวได้มาเจอกันพร้อมหน้า สังสรรค์ร่วมกัน กินข้าวด้วยกัน แกะของขวัญด้วยกัน ใช้เวลาร่วมกันโดยมีต้นคริสต์มาสเป็นสัญลักษณ์เสริมบรรยากาศ นั่นต่างหากคือสิ่งสำคัญ
หรือคำพูดอย่าง “จะหวังให้คนบางคนแก้ปัญหาที่ตัวเขาเองนั้นไม่รู้ว่ามีน่ะ มันไม่ได้หรอกนะ” ก็เป็นการสื่อแบบตรงๆ น่ะครับว่าถ้าเรารู้สึกว่ามีปัญหากับใคร หรือเราเห็นว่าใครบางคนมีปัญหาอยู่ที่ตัวเองโดยที่เขาไม่รู้ตัว เรานี่แหละครับที่ควรจะต้องบอกกับเขา จะไปทึกทักว่าเขาก็คงรู้ปัญหานั่นแหละน่ะไม่ได้ เพราะเขาอาจไม่รู้จริงๆ อาจมองไม่เห็นมันจริงๆ ก็ได้ ดังนั้นก็ควรเปิดใจคุยกันครับ คุยให้เข้าใจ แต่ถ้าเขาไม่รับรู้หรือคุยกันไม่ได้ก็ว่ากันอีกที
แต่ก็มีอะไรที่แอบเสียดายหน่อยๆ นั่นก็คือ เรื่องนี้กลายเป็นหนังที่ McKellar แสดงทิ้งท้ายให้กับ Hallmark ครับ เพราะหลังจากนี้เธอย้ายค่ายไปอยู่กับค่าย GAC (Great American Country) แทน ซึ่งค่ายนี้เป็นค่ายใหม่ และหนึ่งในนักลงทุนของค่ายนี้ก็คือ Bill Abbott อดีตซีอีโอของ Hallmark นั่นเอง
นี่อาจไม่ใช่หนังคริสต์มาสที่เลิศล้ำยอดเยี่ยมอะไรนะครับ แต่ผมรู้สึกขอบคุณที่ตัวเองเลือกดูหนังเรื่องนี้ และดีใจที่มีคนเอามาให้ดู เพราะช่วงนั้นผมกำลังเหนื่อยๆ ล้าๆ และร้อนๆ อยู่พอดีครับ การได้ดูเรื่องนี้มันเหมือนได้พักผ่อนหย่อนใจ ชุบพลังให้ฟื้นขึ้นมา ผมเลยอยากแนะนำว่าใครชอบหนังแนวนี้ หรือชอบหนังรอมคอมดูง่ายๆ ไม่ต้องคิดเยอะ ผมว่าเรื่องนี้เป็นทางเลือกที่พอเหมาะทีเดียวครับ ยิ่งใครกำลังเหนื่อยๆ นี่อยากให้ลองดูเลย มันอาจฟื้นพลังให้ท่านก็เป็นได้
สองดาวกว่าๆ บวกๆ ครับ
(6.5/10)
หมวดหมู่:รีวิวหนัง/ภาพยนตร์, Christmas Movies, Comedy, Romance