บอกแบบไม่อ้อมค้อมว่าผมชอบ A Cinderella Story: Starstruck น้อยที่สุดในบรรดาหนังชุดนี้ทั้ง 6 ภาค หรือถ้าพูดให้ถูกกว่าก็คือไม่ค่อยชอบเท่าไรครับ
แล้วผมก็นั่งพิจารณานะว่าเพราะอะไรถึงรู้สึกแบบนั้น มานั่งจาระไนทีละอย่างเลยว่าเพราะเราดูหนังพล็อตนี้ (พล็อตนางซิน) ต่อๆ กันจนเอียนหรือเปล่า? คำตอบก็คือเปล่าครับ มันไม่ได้รู้สึกเอียนอะไร พล็อตก็รับได้ตามปกติกับเรื่องของตัวเอกที่เป็นเหมือนนางซินยุคใหม่ที่โดนแม่เลี้ยงสับโขก จนเธอได้พบกับชายหนุ่มรูปงาม แล้วชีวิตเธอก็สามารถไปให้พ้นจากความรันทดในที่สุด
ผมโอเคกับนางซินคนนี้นะ ในเรื่องเธอมีชื่อว่าฟินลีย์ (Bailee Madison) สาวน้อยนางนี้น่ารักสดใส ชื่นชอบการแสดงและร้องเพลง ก็ดูน่าเอาใจช่วยอยู่ ส่วนพระเอกอย่างแจ็คสัน สโตน (Michael Evans Behling) ดาราชื่อดังก็ถือว่ากลางๆ คือไม่ได้เด่นจนน่าจดจำ แต่ก็ไม่ได้ทำให้หนังดูแย่
ด้านเนื้อเรื่องก็พอเข้าใจครับ นอกจากพล็อตแบบนางซินแล้วคราวนี้ยังมีความเป็นทัดดาวบุษยาใส่ลงไปด้วย คือฟินลีย์เธออยากเป็นนักแสดงมากแต่กลับไม่ได้รับโอกาสเพราะเป็นผู้หญิง เลยต้องปลอมเป็นชายติดหนวดเข้าหน่อยถึงจะได้รับการยอมรับจากผู้กำกับและได้เล่นหนังตามความฝัน แต่ผมก็พอกล้อมแกล้มนะ ดูได้ไม่คิดอะไร ทำใจดูแบบขำๆ
ส่วนการเดินเรื่องว่าตามจริงคือหนังไม่น่าสนใจสักเท่าไร ผมว่าส่วนหนึ่งน่าจะเพราะความน่ารักของนางเอกถูกลดบทบาท เพราะเธอต้องไปปลอมตัวเป็นผู้ชายตั้งครึ่งเรื่อง วาระน่ารักๆ หรือสวีทๆ แบบหวานๆ กับพระเอกมันเลยหดหายไป ในขณะที่ภาคอื่นๆ เราจะได้เห็นความน่ารักของนางเอกในหลายแง่หลากลีลามากกว่า – โดยส่วนตัวเลยรู้สึกว่าภาคนี้แพ้ 5 ภาคที่ผ่านมาก็ตรงจุดนี้นี่แหละ
แล้วก็มาถึงจุดที่ผมไม่ชอบ+หงุดหงิด+รำคาญครับ นั่นคือภาคนี้มีตัวละครที่ผมไม่ชอบคาแรคเตอร์เลย ไม่ชอบแบบไม่ถูกชะตาเลยจริงๆ อยู่ 3 ราย – พอบอก 3 รายหลายคนอาจคิดว่าคนที่ผมไม่ชอบคือแม่เลี้ยงใจร้ายและลูกๆ อีก 2 คนใช่ไหม? คำตอบคือ ทั้งใช่และไม่ใช่ครับ
ที่ว่าไม่ใช่ก็เพราะ ผมไม่รำคาญตัวแม่เลี้ยงวาเลอเรียน (April Telek) กับลูกสาวแซฟฟรอน (Lillian Doucet-Roche) นะ ดีกรีความร้ายของพวกเธอไม่ถือว่ามากอะไร ก็ตามสูตรนั่นแหละ แต่ในเรื่องพวกเธอไม่ใคร่จะเด่นเท่าไร
คนที่ผมคำราญคนแรกเลยคือ เคล (Richard Harmon) ลูกอีกคนของวาเลอเรียน คือตัวละครนี้ออกแนวน่ารังเกียจเพราะชอบเหยียด ชอบประชด ชอบกดขี่ ชอบยกตนข่มคนอื่น ชอบอวดเก่งแต่พอเอาเข้าจริงแม้แต่หมูก็ยังไม่กล้าสู้ ฯลฯ คือสารภาพเลยน่ะครับว่าผมไม่ถูกชะตากับคนแบบนี้เลย และคงเพราะแบบนั้นพอมาเจอตัวละครนี้มีบทค่อนข้างมากในเรื่อง เลยรู้สึกไม่ชอบไป
และปัญหาคือ ไม่ได้มีแค่นายคนนี้นะครับที่ผมรำคาญ ยังมีอีก 2 คน ได้แก่ เทรเวอร์ (Matty Finochio) ผู้กำกับหนังที่น่าขี้โอ่ ชอบบงการ ไม่สนใจความคิดใคร ไม่เห็นใจคนอื่น คิดถึงแต่ตัวเอง ฯลฯ เหตุผลหนึ่งที่นางเอกต้องมาปลอมตัวก็เพราะนายคนนี้นี่แหละ ซึ่งที่ผมไม่ชอบนี่ไม่ใช่เพราะเขาทำไม่ดีกับนางเอกนั้น อันนั้นไม่เป็นประเด็นเลย แต่ไม่ชอบท่าทางนายคนนี้มากกว่า มันดูน่ารำคาญและน่าหงุดหงิดเวลาเจอน่ะครับ
ยังไม่หมด ยังมีอีกคน นั่นคือ เคนนี่ (Ricky He) นักแสดงสมทบในกองถ่ายที่ชอบทำตัวประจบประแจงแจ็คสัน ชอบเสนอหน้าทำตัวเด่น ชอบอวดดีทั้งที่ไม่มีดีให้อวด ขี้อิจฉาไม่น่ารัก ไม่มีน้ำใจนักกีฬา ฯลฯ เนี่ยครับ เจอนาย 3 คนนี้มาเดินลอยหน้าลอยตาตลอดเรื่อง แล้วก็มาพร้อมคาแรคเตอร์ชวนหงุดหงิดตั้งแต่ต้นจนจบ จนผมรู้สึกอึดอัด ไม่สนุกกับการดูหนัง นี่อาจเป็นประเด็นส่วนตัวน่ะนะครับ แต่ขณะเดียวกันนี่ก็เป็นบันทึกสิ่งที่ผมคิด เลยขอร่ายไปตามตรง ไม่รู้จะอ้อมทำไม
นั่นล่ะครับ ผมเลยไม่ชอบหนังไปโดยปริยาย ดูไม่สนุกน่ะครับ ตัวโครงเรื่องและเนื้อหาก็ไม่ได้เด่นอะไรอยู่แล้ว และยังเหมือนกับเราต้องมาเจอหน้าคนที่ไม่ชอบอยู่เกือบตลอด มันเลยรู้สึกไม่เพลินกับหนังไปเลย
ก็ขอบอกให้ครบล่ะครับว่ารู้สึกอย่างไร เผื่อท่านอาจนำไปพิจารณาได้ว่า นี่อาจเป็นอคติที่ผมมีต่อบางส่วนของหนังเลยรู้สึกไม่เพลิน แต่หากท่านไม่ติดใจกับอะไรแบบนี้ก็อาจจะเพลินก็ได้ อันนี้เปิดกว้าง
แต่ถ้าว่ากับตัวหนังแล้วนอกจากความสดใสของนางเอกแล้ว อย่างอื่นก็พื้นๆ ครับ ไม่ได้เด่นอะไร โลเคชั่นก็ไม่ถึงกับสวย เรื่องราวก็ไม่ได้ชวนติดตามอะไร โดยส่วนตัวแล้วผมสนุกกับ 5 ภาคก่อนมากกว่า
ไม่ถึงสองดาวครับ
(5.5/10)