เหตุผลหลักที่ขุด A Cinderella Story เรื่องนี้ขึ้นมาดูก็เพราะเพิ่งตระหนักครับว่าหนังชุดนี้ทำออกมารวม 6 ภาคแล้ว เลยไล่ย้อนดูให้ครบชุด – อันนี้คงเป็นความบ้าส่วนตัวน่ะนะครับ หนังเรื่องไหนทำภาคต่อออกมาหลายๆ ภาค มันอดไม่ได้ที่จะตามไปดูให้ครบๆ
ครั้นพอได้ดูก็มีเรื่องให้ตระหนักเพิ่มครับ อย่างแรกเลยคือ หนังอายุจะ 20 ปีแล้วนะนี่ ตอนนั้น Hilary Duff ยังวัยรุ่นวัยละอ่อนอยู่เลยครับ จำได้ว่าช่วงนั้นผลงานเธอออกมาอย่างต่อเนื่องทั้งงานเพลงและงานแสดง หนุ่มๆ จำนวนมากในยุคนั้นตกหลุมรักเธอ และเสน่ห์เฉพาะตัวของเธอคือเธอสวยแบบยุ้ยๆ น่ารักน่ากอด จำได้เลยว่าเคยคุยกับเพื่อนช่วงที่เธอเริ่มผอม แล้วก็เห็นตรงกันว่าพวกเราชอบตอนเธอยุ้ยๆ มากกว่า – พอมายุคนี้ได้เห็นเธอน้อยลง และเธอก็เป็นคุณแม่ลูกสามแล้วด้วยครับ
แล้วก็ย้อนมองดูตัวเองครับ เพราะอายุเราย่อมเพิ่มไปตามหนังนั่นแหละ หนังไปแล้วเกือบ 20 ปี ก็เท่ากับเราไปแล้วเกือบ 20 ปีจากตอนนั้นเหมือนกัน – เวลาไม่เคยรอใครจริงๆ ครับ
ตัวหนังก็คือการเอาเรื่องราวซินเดอเรลล่ามาบอกเล่าโดยเปลี่ยนเป็นยุคปัจจุบัน แต่โครงหลักก็คือเหมือนเดิมครับ ตัวเอกคือแซม (Duff) ที่เสียพ่อไปตั้งแต่ยังเด็ก แล้วก็โตมาภายใต้การเลี้ยงดูของแม่เลี้ยงใจร้ายนามว่า ฟิโอน่า (Jennifer Coolidge) ที่มีลูกติดอีก 2 คน ซึ่งก็แน่นอนว่าพวกเธอก็ร้ายไม่แพ้แม่
ส่วนความรักที่ก่อตัวกับพระเอกอย่างออสติน (Chad Michael Murray) นั้นก็มีรายละเอียดเพิ่มเติมลงไป คือพวกเขารู้จักกันผ่านแชททางมือถือครับ ซึ่งอันนี้ก็ทำให้รำลึกอดีตอีกเหมือนกัน เพราะสมัยก่อนนี่ต้องยอมรับนะว่าการแชทออนไลน์ กลายเป็นอีกหนึ่งความหวังในการหาคู่ของคนสมัยนั้น หลายคนแชทเป็นล่ำเป็นสันด้วยความหวังว่าจะเจอใครสักคนผ่านโลกออนไลน์ แล้วกลายมาเป็นแฟนกัน – การดูเรื่องนี้ก็ทำให้นึกถึงบรรยากาศสมัยนั้นอยู่ไม่น้อยครับ
สำหรับหนังแล้ว ก็ถือว่าดูได้แบบเรื่อยๆ ตามสไตล์หนังรักวัยรุ่นครับ อาจจะไม่ได้เด่นเป็นพิเศษ หลายอย่างลงสูตรจนเดาทางได้ตั้งแต่ต้นจนจบ ถือเป็นหนังอีกเรื่องที่เหมาะกับการดูแบบไม่ต้องคิดเยอะ ดูเอาเพลินเอาบันเทิงเข้าว่าน่ะครับ
ในแง่การตีความของเรื่องซินเดอเรลล่านั้นก็ต้องยอมรับว่าหนังไม่ได้ตีความแปลกใหม่อะไรมาก เพราะก่อนหน้าเรื่องนี้ก็เคยมีหนังอย่าง Ever After ที่ Drew Barrymore แสดงนำ เรื่องนั้นมีการตีความตีประเด็นที่น่าสนใจกว่า อีกทั้งคาแรคเตอร์ของนางซินในเรื่องก็มีดีจนน่าจดจำ และอีกเวอร์ชั่นหนึ่งที่น่าจดจำไม่น้อยหน้าก็คือ Cinderella เวอร์ชั่น Lily James ซึ่งก็ถ่ายทอดเรื่องราวได้น่าสนใจและมีประเด็นชวนคิดเหมือนกัน
แต่หนังจัดว่าทำเงินใช้ได้เลยนะครับ ทำไป $70 ล้านจากทั่วโลก ในขณะที่ทุนสร้างอยู่ที่ $19 ล้านเท่านั้น แล้วก็มีการสร้างต่อมาอีก 5 ภาค ซึ่งจะบอกว่าเป็นภาคต่อก็คงไม่เต็มปาก เพราะเอาเข้าจริงก็คือการเอาเรื่องของซิ้นเดอเรลล่ามาเล่าใหม่เล่าแล้วเล่าอีกแล้วก็เปลี่ยนดาราไปเรื่อยๆ มากกว่า
เกร็ดเล็กๆ ของหนังก็คือจริงๆ แล้วคนที่จะมาเป็นออสตินนั้นคือ Rupert Grint ครับ แต่เนื่องจากติดสัญญาต้องแสดง Harry Potter and the Prisoner of Azkaban เขาก็เลยต้องสละสิทธิ์ และเหตุผลสำคัญเลยที่ Hilary Duff ตกลงรับเล่นก็เพราะเธอรักเรื่องราวของซินเดอเรลล่ามาตั้งแต่เด็กๆ ครับ
ก็เหมือนสำหรับคนที่ชอบหนังรอมคอมวัยรุ่นแบบเบาๆ หรือไม่ก็ชอบน้อง Hilary Duff แต่บอกว่ากันสำหรับใครที่อาจไม่ถูกเส้นหรือรำคาญกับบทประเภทนางอิจฉา มาเรื่องนี้ยังไงก็ต้องเจอครับ และบทของตัวละครพวกนี้ก็มีไม่น้อยด้วย เอาเป็นว่าเตรียมใจไว้ก่อนดูแล้วกันครับ
อ้อ อีกอย่างที่ชอบในหนังก็คงเป็นเพลงครับ เลือก Soundtrack มาใส่ได้พอเหมาะดี
สองดาวครับ
(6/10)
หมวดหมู่:รีวิวหนัง/ภาพยนตร์, Comedy, Family, Romance