ภาคนี้เหตุเกิดช่วงวันวาเลนไทน์ครับ จริงๆ ตอนแรกมิค (Jack Wagner) และโอลิเวีย (Josie Bissett) มีแผนจะสวีทวี๊ดวิ้วกัน แต่แล้วจู่ๆ บอนนี่ (Gabrielle Miller) น้องสาวของมิคก็ตรงดิ่งมาที่รีสอร์ทเพื่อจัดงานแต่งระหว่างเธอกับฌอน (Peter Benson) ตามด้วยจูลี่ (Sarah Grey) ลูกของมิคก็พาไวแอตต์ (Mitch Ainley) มาฉลองวาเลนไทน์ที่รีสอร์ทอีก
ยังไม่หมดครับ ยังมีนอร่า (Susan Hogan) แม่ของโอลิเวียก็ตัดสินใจพาจอห์นนี่ (Serge Houde) สุดที่รักของเธอมาที่รีสอร์ทอีกเหมือนกัน งานนี้วาเลนไทน์ของมิคกับโอลิเวียเลยมีหลากรสชาติทั้งหวานทั้งขม กลายเป็นอีกหนึ่งวาเลนไทน์ที่พวกเขาจะต้องจดจำ
ภาคนี้เหมือนเป็นการแก้มือจากภาคก่อนครับ โดยผู้กำกับคือ David Weaver ที่เคยกำกับภาคก่อนไว้ ที่บอกว่าเหมือนแก้มือก็เพราะภาค 2 นั้นแม้จะยังคงเป็นหนังรอมคอมอยู่ แต่เรื่องราวบรรยากาศในเรื่องจะว่าด้วยเรื่องวุ่นๆ ของความรัก กลิ่นอายอบอุ่นเลยไม่มาก แต่มาภาคนี้นี่ตัวละครแต่ละคู่เต็มไปด้วยอุ่นไอรักครับ มีเรื่องหวานๆ น่ารักๆ มีสายใยสวยงามระหว่างคู่รัก ระหว่างพี่น้อง ระหว่างพ่อลูก ระหว่างเพื่อน โทนหนังมันเลยอบอุ่นโดยอัตโนมัติ
และขณะเดียวกันภาคนี้ก็ทำให้เรารู้สึกโอเคกับภาค 2 มากขึ้นครับ เพราะภาค 2 นั้นว่าด้วยความไม่เข้าใจกันระหว่างมิคและโอลิเวีย ซึ่งเมื่อพวกเขาผ่านมันมาได้ พวกเขาก็เข้าใจกันและกันมากขึ้น อีกทั้งเข้าใจชีวิตมากขึ้นอีกระดับ อันส่งผลให้ในภาคนี้พวกเขามีส่วนในการประสานใจระหว่างคู่รักคู่อื่นๆ ที่มีเรื่องไม่เข้าใจกัน
ผมเลยกลายเป็นรู้สึกบวกกับภาค 2 ยิ่งขึ้น แล้วขณะเดียวกันก็พลอยรู้สึกบวกกับสารพัดปัญหาที่ถาโถมเข้ามาในชีวิตเรา ใช่ครับ ผมกำลังพูดถึงชีวิตจริงอยู่ มันเป็นเรื่องปกติครับที่ชีวิตเราจะต้องพบเจอกับปัญหา เจอเรื่องไม่ได้ดังใจ เจอความขัดแย้งระหว่างเรากับคนรอบข้าง
แน่นอนว่า ณ นาทีที่ปัญหามันกำลังเกิด ณ นาทีที่เรากับคนใกล้ตัวทะเลาะกันนั้น มันไม่ใช่ความสุขหรอกครับ มันไม่ใช่อะไรที่เราอยากเจอเลยแม้แต่น้อย ถ้าเลือกได้ก็ไม่อยากเจอ แต่หากเราผ่านมันมาได้ หากเราเรียนรู้จากมันได้ เราก็จะเติบโตขึ้น เราจะเข้าใจปัญหา เข้าใจตนเอง เข้าใจคนรอบข้างมากขึ้น อันจะส่งผลให้ปัญหานั้นสลายหายไป และเปลี่ยนกลายเป็นความเข้าใจ กลายเป็นเหมือนภูมิคุ้มกันที่จะทำให้เราไม่ต้องมาเจอกับปัญหานั้นๆ ซ้ำอีก
แต่ในทางกลับกัน หากเราไม่เรียนรู้จากมัน ไม่ทำความเข้าใจมัน มันก็จะแวะมาหาเราอีก แวะมาอีก แวะมาเรื่อยๆ จนกว่าเราจะเข็ดน่ะครับ จนกว่าเราจะตระหนักว่า “ต้องเปลี่ยนอะไรบางอย่างแล้วนะ มันจะได้ไม่เกิดเรื่องแบบนี้อีก” – นี่คือบทเรียนของปัญหาที่เราต้องเรียนรู้ หากไม่อยากเจอมันบ่อยๆ ล่ะก็
ภาคนี้โทนหนังเลยลื่นขึ้นครับ อย่างแรกเพราะทีมดาราที่ถือว่าเล่นได้เหมาะ นอกจากคู่พระนางขาประจำแล้ว รายที่ผมชอบคือ Miller ในบทบอนนี่ เธอสื่ออารมณ์ได้ดีครับ ทั้งยามสุขและยามทุกข์ เธอถ่ายทอดอารมณ์ได้พอเหมาะ ยิ่งตอนเธอทุกข์ใจนี่รู้สึกสงสารเลยครับ อีกรายก็ Grey ในบทจูลี่ รายนี้บทจะเศร้าก็ทำให้เราเห็นใจได้เหมือนกัน
ผมชอบรายละเอียดภาคนี้นะครับ ในแง่ของบทถือว่าเขียนได้ไม่เลว นอกจากมีปมมีประเด็นที่พอเหมาะไม่หนักมือจนเกินไปแล้ว ยังมีจังหวะจะโคนในการกระตุกให้ตัวละครฉุกคิด หรือได้รับบทเรียนอะไรบางอย่างแบบพอเหมาะ อย่างในเรื่องจะมีปมว่าจูลี่ลูกสาวของมิคนั้นตั้งใจจะลาออกจากโรงเรียนเพื่อมาทำตามความฝันคือการเป็นเชฟ ซึ่งแน่นอนว่าคนเป็นพ่ออย่างมิคนั้นไม่เห็นด้วยอยู่แล้วครับ ที่ลูกจะเลิกเรียนแล้วออกมาเสี่ยงกับความไม่แน่นอนแบบนี้
แต่แล้วหนังก็ใช้ประเด็นเกี่ยวกับแม่ของโอลิเวียมาทำให้มิคตระหนัก เพราะมิคสังเกตว่าแม่ของโอลิเวียนั้นมีผลต่อลูกเพียงไหน – อันเป็นปมมาตั้งแต่ภาคก่อนๆ แล้วว่าแม่ของโอลิเวียจะชอบวิพากษ์ลูก ชอบดักคอลูกจนบางทีโอลิเวียก็ขาดความมั่นใจ – และจากเรื่องนี้เองทำให้มิคเปลี่ยนมุมมองต่อจูลี่ ทำให้เขาตระหนักว่าการวิพากษ์หรือบงการลูกนั้นไม่ใช่ทางออก แต่ต้องประคองให้ลูกโตขึ้น ต้องให้ลูกตัดสินใจเลือกด้วยตัวเอง มันจะถูกบ้างหรือผิดบ้างก็ต้องให้เขาเผชิญเพื่อเป็นประสบการณ์ – ประเด็นนี้ยังพ่วงไปถึงการที่มิคเป็นห่วงบอนนี่มากจนเอ่ยปากไปตรงๆ ว่าไม่อยากให้เธอแต่งกับฌอน ซึ่งก็ได้การสังเกตนี้นี่แหละ ทำให้มิคเบาเรื่องนี้ลง และเข้าใจน้องสาวมากขึ้น
อีกแง่คิดหนึ่งที่ผมได้ระหว่างดูก็คือ บางปัญหาก็ต้องปล่อยไว้ ให้เวลาบรรเทาแก้ไขมัน – อันนี้อย่าถามผมนะว่าปัญหาไหนบ้างที่เหมาะกับแง่คิดนี้ เพราะผมไม่ใช่กูรูผู้รู้ทุกสิ่ง ผมบอกได้เพียงว่า ชีวิตนี้ก็เคยเจอเรื่องแบบนี้มาบ้างครับ เจอกับปัญหาที่บรรเทาลงได้ด้วยเวลา
บางปัญหาเราต้องฉับไวตัดไฟแต่ต้นลม แต่บางปัญหาเร่งไปมีแต่ไฟไหม้มือ ต้องรอ เว้นช่วง จับจังหวะ เรียนรู้ แล้วแก้ไข ของแบบนี้ต้องให้ชีวิตสอนครับ ก็ต้องนำพาตัวเองไปใช้ชีวิตบ่อยๆ ไปเจอกับประสบการณ์มากๆ หน่อย แล้วก็จะแยกแยะวิเคราะห์ในการจัดการปัญหาได้ดีขึ้นตามลำดับ
หนังอาจไม่ได้สุดยอดสุดติ่งอะไรมากครับ แต่มันพอเหมาะสำหรับหนังรอมคอมสักเรื่อง และสำหรับคนที่ตามดูมาตั้งแต่ภาคแรกนั้น ภาคนี้ถือว่าเล่าเรื่องต่อจากภาคก่อนๆ ได้อย่างดี จนหากว่าภาคนี้จะเป็นภาคจบก็ไม่น่าเกลียดครับ เพราะมันจบลงอย่างพอเหมาะ สรุปเรื่องได้อย่างน่ารักและแอบกินใจในหลายๆ ภาคส่วน (แต่หนังก็ยังมีภาคต่อจากนี้อีกครับ ยังไม่จบ)
ผมอยากจะบอกว่า ผมรู้สึกมีความสุขที่ได้ดูครับ – ณ เวลาที่ผมดูหนังจนจบ ผมบังเกิดความรู้สึกขึ้นมาแว่บหนึ่งว่า “ดีใจจังแฮะ ที่เลือกดูหนังชุดนี้” เพราะดูแล้วมัน Feel Good น่ะครับ มันรู้สึกดีที่เราได้หนังเรื่องนี้มาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เป็นส่วนหนึ่งของความทรงจำ – ภาคแรกอาจจะเรื่อยๆ แต่ก็ดูเพลินดี ส่วนภาคสองอาจไม่โดนใจเสียทั้งหมด แต่ก็ยังดูได้ ครั้นมาถึงภาคสามถือเป็นการสานต่อเรื่องราวที่ดี และทำให้ภาคสองดูโอเคขึ้น
ผมรักการดูหนังครับ และผมรู้สึกดีที่ตัวเรารู้ตัวว่าชอบดูหนัง แล้วก็ขยันหาหนังมาดูอยู่เรื่อยๆ นอกจากดูแล้วสนุก ดูแล้วได้แง่คิด ก็ยังได้รับการเติมเต็มพลังบางอย่างจากหนัง รวมถึงได้ความหมายบางอย่างจากการดูหนัง – มันมีความสุขจริงๆ ครับ
สองดาวกว่าๆ บวกๆ ครับสำหรับภาคนี้
(6.5/10)
หมวดหมู่:รีวิวหนัง/ภาพยนตร์, Comedy, Drama, Romance