เป็นการดูหนังที่มีความสุขดีครับสำหรับ Marry Me เอาเข้าจริงหนังก็ไม่ได้มีอะไรมากมายครับ มันคือหนังรักโรแมนติกเบาสมองแบบยุค 90 แต่เผอิญว่ามันคือแนวที่ผมชอบครับ ผมเลยรู้สึกเพลินกับหนังไปจนจบเลย
นักร้องสาวชื่อดัง แคท วาลเดซ (Jennifer Lopez) กำลังจะแต่งกับบาสเตียน (Maluma) นักร้องคู่หมั้นของเธอกลางคอนเสิร์ตใหญ่ แต่แล้วก็เกิดเหตุไม่คาดฝันและส่งผลให้แคทเลือกที่จะไม่แต่งกับบาสเตียน แล้วพอดีในนาทีนั้นมีครูหนุ่มนามว่า ชาร์ลี กิลเบิร์ต (Owen Wilson) พาลูกสาวมาดูคอนเสิร์ตของเธอและในมือก็ถือป้ายที่มีคำว่า Marry Me แคทเลยตกลงแต่งงานกับเขาแทน และนั่นล่ะครับคือจุดเริ่มต้นของเรื่องราว
นี่แหละครับหนังรักแบบเก่าๆ เรื่องนี้ลงสูตรเป๊ะ นอกจากจะมีพระ-นางที่ถูกกำหนดให้ต้องตกร่องปล่องชิ้นกันแล้ว ก็ต้องมีตัวละครสมทบน้อยใหญ่ผลัดกันเสริมรสชาติให้กับหนัง บางครั้งก็มาพร้อมประโยคเด็ด บางครั้งก็มาขโมยซีน ซึ่งเรื่องนี้ได้นาย John Bradley ที่ผมชอบพี่แกจาก Moonfall มาเรื่องนี้ก็เอาอีกแล้วครับ มารับบทคอลลิน คัลลาเวย์ ผู้จัดการของแคท ซึ่งก็เล่นได้น่ารักอีกแล้ว เขาดูเป็นคนดีและจริงใจ ช่วยเพิ่มความอ่อนโยนให้หนังได้ในหลายวาระ (แค่กล้องเลื่อนไปจับพี่เขาตอนแสดงอารมณ์เห็นใจแคทนี่ผมว่าก็ดึงอารมณ์ให้ฉากนั้นได้พอตัวแล้วล่ะ)
ส่วน Lopez กับ Wilson ก็กลับมาเจอกันอีกครั้ง (หลังจากเคยร่วมงานกันเมื่อสมัยนูันเลย ใน Anaconda) ก็ถือว่าไปกันได้ครับ รายหนึ่งก็เป็นนักร้องสาวสุดฮอต อีกคนก็เป็นครูหนุ่มเรียบง่าย แต่ก็มีความเป็นตัวของตัวเอง ในแง่รูปลักษณ์พวกเขาอาจดูไม่คู่กันนัก แต่ในแง่คาแรคเตอร์บทถือว่าเขียนมาให้พวกเขาเข้ากันได้พอดีครับ เหมือนกับต่างก็เติมเต็มให้กันและกัน ซึ่งก็โอเคในระดับหนึ่ง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ครับว่ามันดูเป็นสูตรแบบสุดๆ และว่ากันตรงๆ แล้วก็คือความโรแมนติกและกลมกล่อมมันยังดีได้อีกน่ะครับ
คนเขียนบทหนังได้แก่ John Rogers, Tami Sagher, Harper Dill มือเขียนบทสายซีรี่ส์ ก็ทำให้เข้าใจครับว่าทำไมบทสนทนาถึงลื่นไหล บางอันมีประเด็น บางอันมีแง่คิด บางอันก็เขียนมาเพื่อฮุคใส่หูคนดู เช่นประโยคอย่าง “คนดูชอบศิลปินที่เปิดหมดเปลือก แต่พอเปิดมากไปก็โดนประณาม” อะไรประมาณนี้ ก็ยอมรับครับว่าบทสนทนาลื่นๆ มีส่วนช่วยให้หนังไหลเพฃินไปได้เรื่อยๆ จนจบ
ดนตรีโดย John Debney รายนี้ก็ถนัดครับสำหรับสกอร์สายน่ารัก เพียงแต่ครั้งนี้อาจไม่เด่นแบบจัดๆ เท่านั้น ส่วนผู้กำกับ Kat Coiro ก็ผ่านงานหนังทีวีและงานซีรี่ส์มาเยอะครับ กับเรื่องนี้ก็ถือว่าไม่เลว คุมหนังให้ดูสนุก ตอบโจทย์เอนเตอร์เทนได้ เพียงแต่ความเข้มของเรื่องราวหรือความซึ้งกินใจอาจยังไม่มากครับ
ระหว่างดูผมก็เกิดคำถามนะว่าระหว่างหนังรักเข้าโรงกับหนังรักสตรีมมิ่งต่างกันอย่างไร อย่างหนึ่งผมว่าคือจังหวะการปล่อยของครับ คือมันอาจมีของเหมือนกันนะ มีดารา มีตัวละครสมทบ มีประโยคเด็ด มีสูตรสำเร็จ ฯลฯ องค์ประกอบมันก็มีคล้ายๆ กันน่ะแหละ แต่จุดต่างคงเป็นจังหวะการปล่อยของครับ มันจะมีจังหวะหย่อน จังหวะตึ่งโป๊ะ จังหวะเฮ ซึ่งมันจะได้รสชาติและความฟินต่างกันหน่อยๆ และเรื่องนี้ก็ถือว่าได้จังหวะพอประมาณครับ แต่ก็อย่างที่บอกน่ะแหละว่ายังไม่ถึงกับเจ๋งสุดๆ เท่านั้น
ในเรื่องจะมีอยู่ฉากหนึ่งที่ชาร์ลีคุยกับแคทเกี่ยวกับเรื่องแต่งงาน ชาร์ลีก็แววแคทว่าคุณคงแต่งงานมา 6 ครั้งแล้วมั้ง แคทก็ตอบว่าไม่ถึงซักหน่อย แต่งงานมาแต่ 3 ครั้ง และครั้งนี้ (ที่แต่งกับชาร์ลี) เป็นครั้งที่ 4 ซึ่งก็พ้องกับในชีวิตจริงที่ Lopez เธอเพิ่งแต่งงานครั้งที่ 4 ใน 2022 (แต่งกับ Ben Affleck ครับ) ในฐานะที่ดูผลงานของเธอมานาน เห็นกันมานานก็หวังให้พวกเขาครองคู่อยู่กันอย่างมีความสุขไปนานๆ ครับ
สรุปว่าคอหนังรักสไตล์ 90 คุณอยากได้แบบไหนหนังก็มีให้ครับ รักหวานๆ ซีนซึ้งๆ บทสมทบขโมยซีนและสุมหัวกันช่วยให้พระนางสมหวัง – ตัวละครหนึ่งวิ่งพล่านเพื่อไปหาอีกฝ่ายเพื่อเผยความในใจก่อนจะสายเกิน – ถ้าคุณคิดถึงอะไรเหล่านี้ หนังเรื่องนี้จัดให้ตามนั้นครับ
สองดาวนิดๆ ครับ
(6/10)
หมวดหมู่:รีวิวหนัง/ภาพยนตร์, Comedy, Music, Romance