รีวิวหนัง/ภาพยนตร์

Something’s Gotta Give (2003) รักแท้ไม่มีวันแก่

Untitled08941

Something’s Gotta Give หนังรักวัยดึกผลงานกำกับและเขียนบทโดย Nancy Meyers ที่สมัยนั้นกำลังดังต่อเนื่องมาจาก The Parent Trap และ What Women Want ซึ่งเรื่องนี้ก็ถือว่าดูเพลินครับ เพลินด้วยลีลาของดาราคู่หลัก ทั้ง Jack Nicholson และ Diane Keaton ที่ถือเป็นพลังสำคัญของหนังก็ว่าได้

Nicholson รับบท แฮร์รี่ แซนบอร์น พ่อพวงมาลัยวัยชราที่แม้อายุจะปาไปหลักหกแต่ก็ยังขยันคบหาสาวๆ วัยไม่เกิน 30 และสาวรายล่าสุดที่เขาคั่วก็คือมาริน (Amanda Peet) แต่แล้วกามเทพก็เล่นกลเมื่อเขาดันเริ่มไปสนใจเอริก้า (Keaton) คุณแม่ของมารินแทน

จุดเด่นของหนังต้องยกให้ Nicholson และ Keaton จริงๆ ครับ ทั้งคู่ก็ถือเป็นระดับตำนานของวงการไปแล้ว เล่นเรื่องไหนลื่นเรื่องนั้น พอมาจับคู่กันก็รับส่งกันได้พอเหมาะทั้งอารมณ์แง่ง (ตอนเขม่นกัน) อารมณ์ขัน และอารมณ์โรแมนติก ซึ่ง Meyers ก็บอกไว้ครับว่าเธอเขียนบทหนังเรื่องนี้เพื่อให้ Nicholson และ Keaton มารับบทโดยเฉพาะ และตัว Nicholson เองก็ถูกใจบทนี้มากจนยอมบอกปัดบทนำใน Bad Santa เพื่อมาเล่นเรื่องนี้

ตัวเนื้อหานั้นจริงๆ มันก็คือเรื่องแนวรักๆ กึ่งๆ พ่อแง่แม่งอนตามสไตล์หนังโรแมนติกนั่นแหละครับ เพียงแต่พระ-นางในเรื่องอายุเยอะกว่าเรื่องอื่นๆ เท่านั้นเอง ซึ่งช่วงครึ่งแรกตอนทั้งคู่เริ่มรู้จักกัน (แบบไม่ถูกกัน) ก่อนจะเริ่มหัวใจสะกิดกันนั้น หนังถือว่าออกมาได้พอเหมาะครับ มีกลิ่นอายโรแมนติกผสมความฮาแบบพอดีๆ ดูแล้วเชื่อน่ะครับว่าพ่อพวงมาลัยอย่างแฮร์รี่มีความรู้สึกพิเศษต่อเอริก้าจริงๆ และตัวเอริก้าเองก็มองเห็นด้านน่ารักของแฮร์รี่เหมือนกัน ยิ่งตอนทั้งคู่ผลัดกันร้องไห้ด้วยความปลาบปลื้มนี่ จะว่าขำก็ขำ จะว่าน่ารักก็น่ารัก

ในขณะที่ครึ่งหลังนี่รู้สึกว่าความกลมกล่อมลงตัวไม่มากเท่าครึ่งแรก แต่ก็ยังดีครับที่เหล่าดารายังทำหน้าที่ได้ดี เลยทำให้หนังดูได้เรื่อยๆ ต่อไปจนจบ ซึ่งเดี๋ยวผมจะลงลึกอีกทีในโซนสปอยล์นะครับ อันนี้ว่ากันคร่าวๆ ก่อน

ความเด่นส่วนใหญ่จะไปอยู่กับพระ-นางครับ ส่วนดารารายอื่นออกแนวสมทบ รายที่ถือว่าบทเยอะกว่าเขาเพื่อนก็คือ Keanu Reeves ในบทจูเลียน เมอร์เซอร์ หมอหนุ่มสุดหล่อที่หลงเสน่ห์สาวสูงวัยอย่างเอริก้า เรื่องนี้ยอมรับว่า Reeves ฉายเสน่ห์ได้ดีครับ มีความน่ารักและเป็นสุภาพบุรุษ ฉากที่เขายิ้มหวานหลังจากนัดเอริก้าไปเดทอีกครั้งได้สำเร็จนี่เชื่อว่าน่าจะกระชากใจสาวๆ ได้ไม่น้อย

โดยรวมแล้วหนังถือว่าอยู่ในข่ายดีครับ เป็นหนังรักโรแมนติกที่น่ารักเรื่องหนึ่ง เพียงแต่ครึ่งหลังหนังจะลงสูตรมากไปสักหน่อยจนบางอย่างดูง่ายไปนิด ความตรึงใจเลยอาจไม่เยอะเท่าที่ควร

Untitled08942

องค์ประกอบอื่นๆ ของหนังถือว่าดีครับ อย่างดนตรีประกอบของ Hans Zimmer ที่เสริมอารมณ์ความเป็นหนังโรแมนติกวัยดึกได้อย่างดีเยี่ยม ท่วงทำนองได้กลิ่นอายหนังยุโรปผสมลงไปหน่อยๆ เป็นการเพิ่มรสชาติเฉพาะตัวให้กับหนังได้อย่างดี – ได้ข่าวว่าจริงๆ แล้วตอนแรกคนที่จะมาทำดนตรีคือ Alan Silvestri ครับ แต่สุดท้ายเพราะความคิดสร้างสรรค์ไม่ตรงกับ Meyers ก็เลยเปลี่ยนเป็น Zimmer ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าแนวทางของ Zimmer ในเรื่องนี้เหมาะจริงๆ ครับ

ทราบไหมครับว่าตอนแรกที่ Meyers เอาโปรเจคท์ไปเสนอกับค่าย 20th Century Fox ปรากฏว่าทางนั้นปฏิเสธครับ เพราะมองว่าตัวนำในเรื่องแก่เกินไป แต่แล้วหนังก็สำเร็จออกมาผ่านการสนับสนุนของค่าย Columbia Pictures และ Warner Bros. ซึ่งหนังก็ทำเงินสวยงามอยู่ครับ โกยทั่วโลกไป $265 ล้าน (จากทุนสร้างประมาณ $80 ล้าน) กำไรกำลังดีครับ

ในแง่รางวัล หนังเรื่องนี้ก็ส่งให้ Keaton ได้ไปชิงออสการ์สาขานักแสดงนำหญิงครับ แต่ถึงเธอจะไม่ได้รางวัลนั้นเธอก็ยังได้รางวัลจากเวทีลูกโลกทองคำ ส่วน Nicholson ได้เข้าชิงสาขานักแสดงนำชาย (ประเภทหนังเพลง-ตลก) บนเวทีลูกโลกทองคำครับ

โดยรวมแล้วหนังถือว่าน่ารักครับ มีประเด็นชวนให้คิดเกี่ยวกับการตามหาคนที่ใช่ และการเปิดใจที่จะเรียนรู้ถึงความต้องการที่แท้จริงของตนเอง รวมถึงการแยกแยะให้ออกว่าความสุขสนุกสนานที่เราได้รับอยู่นั้น มันจะนำพาเราไปสู่ความรู้สึกสุขชั่วครั้งหรือจะพาเราไปพบกับความสุขที่ยืนยาว โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับหัวใจนี่เป็นอะไรที่ควรค่าแก่การค้นหาเสมอครับ

เอาล่ะเดี๋ยวจะเข้าโซนสปอยล์นะครับ ไม่อยากทราบข้ามไปเลย

====สปอยล์ล่ะนะครับ====

อย่างที่บอกครับว่ารู้สึกเพลินกับครึ่งแรก ส่วนครึ่งหลังหนังก็เข้าสู่โซนพระ-นางเริ่มรู้สึกสับสน รู้สึกงงๆ กับหัวใจของตนเอง ซึ่งจริงๆ ถือเป็นทิศทางที่เข้าท่าครับ เพราะมันสามารถนำพาเรื่องราวให้มีความลึกซึ้งมากขึ้นได้ เอื้อให้พระ-นางได้ค้นหาตนเองและเข้าใจตัวตนของอีกฝ่าย แต่ช่วงที่ว่านี่หนังยังไม่ลึกถึงขนาดนั้น ถือว่าอยู่ในระดับกลางๆ แต่ก็ยังดีที่ดารานำยังเอาอยู่

ในขณะที่ตอนจบนั้นถือว่าหาทางลงได้ง่ายและเร็วมากครับ เร็วจนแอบอึ้ง เร็วจนรู้สึกเสียดายหน่อยๆ เพราะช่วงสรุปท้ายนี่สามารถใส่ประเด็นดีๆ ที่มีความหมายลงมาได้อีก หรือไม่ก็โปรยฉากเหงาๆ ของแฮร์รี่กลางเมืองที่แสนโรแมนติกอย่างปารีสก็น่าจะได้อารมณ์ แต่หนังนำพาให้ทั้งสองลงเอยกันตามสูตรค่อนข้างเร็วไปหน่อย ยังไม่ทันได้ซึ้งสักเท่าไรครับ

และไปๆ มาๆ ผมอยากเห็นเรื่องราวบทต่อไปของตัวละครจูเลียนที่ Reeves แสดงนะครับ ผมว่าตัวละครนี้จริงๆ น่าสนใจ มีความน่ารักและเข้าอกเข้าใจคนอื่นอย่างยิ่ง แต่ก็คงไม่ได้เห็นน่ะครับ

และอีกอย่างที่น่าเสียดายคือจริงๆ แล้วหนังจะมีฉากที่แฮร์รี่ร้องเพลง La Vie En Rose ให้เอริก้าฟังด้วยครับ แต่เดาว่าจังหวะอาจไม่ลงตัวเลยถูกตัดออกไป แต่ท่านสามารถหาชมได้ใน Youtube นะครับ ลองค้น Jack Nicholson – La Vie En Rose ดู ฉากที่ว่านี้น่ารักมากครับ

ถือเป็นหนังรักที่คุ้มค่าแก่การดูครับ ดูแล้วสุขใจดี แม้ช่วงท้ายๆ จะซึ้งได้อีกก็ตาม

สองดาวครึ่งครับ

Star22

(7/10)