ระหว่างดู Ghostbusters: Afterlife ใจก็คิดครับว่าโจทย์ในการทำหนังภาคต่อประเภทที่ระยะห่างระหว่างภาคก่อนกับภาคนี้ยาวนานเกิน 10 ปีขึ้นไป มันย่อมต่างจากการทำภาคต่อแบบห่างกันแค่ไม่กี่ปี
ถ้าภาคต่อแบบไม่กี่ปี การสานต่อคือการเล่าเรื่องบทต่อมาให้คนดูได้รับรู้ ได้เห็นพัฒนาการของเรื่องว่าจะพาเราไปทางไหนต่อ หรือไม่ก็เอาเรื่องจากภาคก่อนมาหักมุมให้เรื่องมันสวิงสวายไม่ซ้ำทาง
แต่ถ้าเป็นภาคต่อแบบระลึกชาติเกิน 10 ปีขึ้นไป โจทย์จะไม่ใช่แค่เล่าเรื่องต่อจากภาคก่อนเท่านั้น แต่หนังยังต้องสามารถทำให้เราระลึกถึงเรื่องราวในภาคก่อน ปลุกกลิ่นอายและบรรยากาศเดิมๆ กลับมา แล้วยังจะต้องเอาของดีของภาคเก่ามาใส่ลงไปให้คนดูยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
ขณะเดียวกันก็ต้องไม่ใช่เอาของเก่ามาเล่าซ้ำแบบยกมาทั้งกระบิ อะไรต่อมิอะไรมาทางเดิมหมด เพราะแบบนั้นก็จะเท่ากับเรื่องผ่านไป 10 ปี แต่ไม่มีความคืบหน้าอะไรสักอย่าง – แบบนั้นเอาของเก่ามาดูก็ได้ ไม่ต่างกัน
ครั้นพอดู GB ภาคนี้แล้ว ถามว่าชอบไหม ก็ตอบได้ว่าชอบครับ หนังสนุกดี ถือว่าตอบโจทย์เบื้องต้นได้ไม่เลว นั่นคือมีการสานต่อเรื่องราวเล่าให้เราเห็นพัฒนาการ แล้วก็เอาของดีของเดิมจากภาคก่อนๆ มาชวนให้แฟนดั้งเดิมรำลึกถึงวันชื่นคืนเก่า
ภาคนี้ก็เล่าถึงนักปราบผีโกสต์บัสเตอร์ดั้งเดิมคนหนึ่งย้ายไปอยู่บ้านไร่ห่างไกลด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง ก่อนที่ในเวลาต่อมาบ้านหลังนั้นจะกลายเป็นมรดกที่ยกให้ลูกสาวนามว่าคัลลี่ (Carrie Coon) และหลานอีก 2 คน นามว่าเทรเวอร์และฟีบี้ (Finn Wolfhard และ Mckenna Grace)
ทีนี้พออยู่ไปฟีบี้ก็ค้นพบความจริงว่าคุณตาของเธอแท้จริงแล้วเป็นหนึ่งใน 4 นักปราบผีในตำนานที่เคยช่วยนิวยอร์คไว้เมื่อ 30 กว่าปีก่อน พร้อมๆ กับค้นพบปริศนาในเมืองที่เธออยู่ อันนำมาสู่การผจญภัยสู้ผีครั้งใหม่ที่ดูท่าว่าจะยิ่งใหญ่ไม่แพ้ที่รุ่นคุณตาเคยสู้มาก่อน
สไตล์เรื่องชวนให้นึกถึง หนังเด็กๆ ผจญภัยแบบ The Goonies ครับ เพียงแต่เปลี่ยนจากล่าสมบัติใต้เมืองเป็นล่าผีใต้เหมืองแทน และสิ่งเด่นสิ่งแรกที่เข้าตาผมสุดๆ ต้องขอยกให้ Mckenna Grace ครับ เธอเอาอยู่จริงๆ ถือว่าเป็นตัวนำที่เด่น และหลายฉากทำเอาเราอึ้ง อย่างซีนอารมณ์เป็นต้น อารมณ์เธอมาจริงๆ ครับจนตอนเธอน้ำตาคลอนี่ผมแทบจะน้ำตาไหลไปด้วยเลย (ส่วนหนึ่งก็เพราะ “ปม” ที่ทำให้เธอน้ำตาคลอนั้น จัดว่าโดนทางความรู้สึกสำหรับแฟน GB ดั้งเดิมอย่างผมมากเหมือนกัน)
ในขณะที่บทสมทบอื่นๆ ก็ถือว่าโอเคครับ เสริมอะไรๆ ให้หนังได้ไม่ว่าจะ Coon หรือ Wolfhard รายที่น่าจดจำมากหน่อยก็คือ Logan Kim ในบทเจ้าหนูพอดแคสต์ แต่รายที่รู้สึกว่าบทน้อยกว่าที่คาดคือ Paul Rudd ผมว่าพี่แกยังไม่ทันได้แสดงลีลาน่าจดจำอะไรออกมาเลยนะ กลายเป็นดูเรื่อยๆ ไป แต่ก็พอเข้าใจน่ะครับว่าหนังพยายามจะเน้นไปที่ลูกหลานของนักกำจัดผีมากกว่า
ช่วงต้นๆ ตอนหนังปูพื้นเล่าเรื่องก็อาจจะเรื่อยๆ อยู่บ้างครับ แต่พอปมเริ่มเผย การตามปมเริ่มมา ความสนุกก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้นตามลำดับ ตอนท้ายก็ถือว่าลุ้นกันพอตัวว่าพวกเขาจะสามารถสยบผีลงได้ไหม แล้วขณะเดียวกันก็ลุ้นว่าจะมีตัวละครดั้งเดิมกลับมาบ้างไหม และใครจะมาบ้าง
Jason Reitman ลูกของ Ivan Reitman ผู้กำกับ 2 ภาคแรกโดดลงมากำกับครับ ซึ่งอันนี้ว่ากันจากใจเลยนะครับว่าผมเองก็แอบลุ้นเหมือนกันว่าเขาจะทำออกมาได้เวิร์กหรือไม่ – คือเวิร์กมันก็คงเวิร์กน่ะครับ แต่จะเวิร์กถึงระดับไหม เพราะที่ผ่านมา Jason Reitman เคยทำมาแต่หนังดราม่าหรือไม่ก็เบาสมองน่ะครับ แต่หนังแนวแฟนตาซีสู้ผีผจญภัยอะไรแบบนี้ไม่เคยเห็นเขาทำมาก่อน
แล้วผลลัพธ์ก็ออกมาครับ โดยส่วนตัวผมชอบนะ เพียงแต่ยังไม่ถึงกับชอบสุดๆ ตัวหนังนั้นมีพร้อมทั้งอารมณ์ขัน ทั้งการผจญภัย ทั้งฉากไล่ล่าและฉากสู้ผี แต่สิ่งที่รู้สึกว่ายังขาดไปหน่อยๆ ก็คือลูกเล่นน่ะครับ ทั้งลูกเล่นในการเล่าเรื่อง ลูกเล่นในฉากสู้ผีทั้งหลาย และลูกเล่นในการชวนให้เรารำลึกวันเก่าๆ คืออย่างที่บอกน่ะครับว่าหนังมีสิ่งเหล่านี้ครบ แต่มันยังไม่ถึงกับสนุกล้นเหลือ หลายอย่างค่อนข้างจะดูทื่อๆ หรือเรื่อยๆ ไปสักหน่อย เลยทำให้หนังยังไม่สุดๆ – เหมือนเครื่องครบแต่ขาดชูรสไปนิดน่ะครับ
กระนั้นผมก็ชอบครับ และถ้าว่างๆ ก็จะเอามาดูซ้ำต่อกับภาคแรกๆ แน่นอน เพราะในแง่ของเนื้อเรื่องแล้วถือว่าสานต่อจากภาคก่อนได้ดีครับ ดูแล้วเป็นเนื้อเดียวกัน
ถ้าให้นิยามแต่ละภาค ผมว่าภาคแรกลงตัวสุดครับ ในขณะที่ภาค 2 ถือว่าเด่นมากในเรื่องลูกเล่นและไอเดีย แต่ในแง่เนื้อเรื่องยังไม่เต็มที่ ส่วนภาคปี 2016 ก็ถือว่าสนุกตามแบบฉบับหนังสู้ผียุคใหม่ ไอเดีย-ลูกเล่น-เนื้อเรื่องถือว่าไปกันได้โอเคอยู่ (แม้หลายคนจะไม่ชอบก็ตาม แต่ผมว่าก็สนุกดีนะ) และสำหรับภาคนี้ผมว่าเนื้อเรื่องดีครับ แต่ไอเดียกับลูกเล่นยังดีได้อีก
สองดาวครึ่งครับ
(7/10)
***** ขอสปอยล์หน่อยนะครับ *****
ถ้าจะมีอะไรที่ผมชอบมากหน่อยก็คือการกลับมาของอีกอนครับ เป็นอะไรที่ซึ้งใจดี และที่ชอบมากอีกอย่างคือบทบาทของวินสตันครับ เหมือนภาคนี้เขาได้รับการให้เกียรติอย่างเหมาะสมเสียที หลังจากภาคก่อนๆ จะออกแนวบทสมทบเสียมาก แต่มาคราวนี้เขาได้รับการยกระดับความสำคัญแบบมีศักดิ์ศรี เป็นอะไรที่น่าดีใจครับ
หมวดหมู่:Adventure, รีวิวหนัง/ภาพยนตร์, Comedy, Fantasy, Sci-Fi