รีวิวหนัง/ภาพยนตร์

Holmes & Watson (2018) โฮล์มส์ แอนด์ วัตสัน

Untitled07992

Holmes & Watson ครับ กับเชอร์ล็อค โฮล์มส์ เวอร์ชั่นต๊องเหลือหลาย เรื่องนี้ก็ได้ยินเสียงลือเสียงเล่าอ้างมาเยอะเหมือนกันว่าหนังปัญญาอ่อนมากมาย โดนสับเละสับแหลก ยิ่งตอนฉายรอบทดลองนี่ได้ข่าวว่าการตอบรับอยู่ในระดับหายนะ ทำเอาสตูดิโอผู้สร้างอย่าง Sony เจรจาจะขายต่อให้ Netflix แต่กลายเป็นว่าขนาด Netflix ยังไม่เอาน่ะครับ

แล้วมันก็ติงต๊องจริงๆ ซึ่งจริงๆ ผมชอบแนวทางบางอย่างของหนังนะ การจับเอาเชอร์ล็อค โฮล์มส์ กับหมอวัตสันมาติงต๊องเนี่ย ผมว่าเป็นแนวคิดที่ไม่เลว และจริงๆ Will Ferrell กับ John C. Reilly ก็ถือเป็นตัวเลือกที่เข้าท่าสำหรับบทโฮล์มส์กับวัตสัน และจากพล็อตจริงๆ ก็มีทิศทางของมันครับ นั่นคือโฮล์มส์ต้องสืบคดีเพื่อยับยั้งแผนร้ายและปกป้องควีนวิคตอเรีย (Pam Ferris)

ครับ ผมว่าโครงต่างๆ มันโอเคอยู่นะ งานสร้างก็ไม่ขี้ริ้ว แต่ปัญหามันมาอยู่ตรงมุกต่างๆ ในเรื่องที่บางทีก็ไม่ขำ บางทีก็ต๊องเกิน บางทีก็หยาบโลนมากจนออกจะน่าเกลียดในบางมุก พูดง่ายๆ คือมันไม่กลมกล่อมและบางทีก็เกินพอดีไปครับ จนทำให้หนังนอกจากจะไม่ขำแล้ว ยังอาจทำให้คนดูรู้สึกรับไม่ได้ หรือหงุดหงิดด้วยซ้ำ (พอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมบางคนถึงขั้นลุกออกจากโรง)

บางอย่างก็เข้าท่าครับ อย่างการให้หมอวัตสันดูเป็นลูกไล่คอยกดไลค์ให้โฮล์มส์อยู่ตลอด ไม่ว่าพี่โฮล์มส์แกจะบ้าแค่ไหนก็ตาม หรือตัวโฮล์มส์ในเวอร์ชั่น Ferrell บางมุมก็ดูต๊องแบบน่ารัก แซวความเป็นคนเยอะหรือเจ้าหลักเจ้าการของโฮล์มส์ได้น่าสนใจดี หรือตรรกะบ้าๆ ของโฮล์มส์ที่นำไปสู่การไขคดีนี่ก็เข้าท่านะ คือปกติการสืบคดีมันต้องใช้ตรรกะที่สมเหตุผลใช่ไหมครับ แต่โฮล์มส์เจ้านี้คิดบ้าคิดบออะไรก็ไม่รู้ไปไกลเชียว แต่พี่แกยังอุตส่าห์สรุปคดีออกมาได้ถูกเนี่ย มุกนี้ก็บ้าดีเหมือนกัน

Untitled07993

แต่ก็อย่างที่บอกน่ะครับ หนังขาดความพอดี เกินจุดพอดีไปในหลายวาระ จริงๆ ถ้าลองย้อนดูหนังเรื่องก่อนๆ ของ Ferrell แล้ว มันก็ยังมีเพดานอยู่นะ แม้จะต๊องหรือบ้าบอแค่ไหน แต่มันก็ยังมีเพดานไม่ให้เกินเลย หรือจริงๆ แล้วตัวละครที่ Ferrell รับบทนำส่วนใหญ่ พี่แกจะออกแนวบ้องแบ๊ว+บ้องตื้น แต่ก็จะยังพอน่ารักบ้าง จนมาเรื่องนี้นี่แหละครับที่เลยเพดานไปหน่อย (บางมุกก็ไม่หน่อย)

ระหว่างดูนี่ผมก็ดู “แบบสวมแว่นตา” กรองบางจุดที่เกินเพดานหรือเกินพอดีออกไปจากหัวเป็นระยะครับ ประมาณว่าถึงเห็นแต่ก็พยายามมองผ่าน ไม่คิดถึงมัน (แต่มันก็มีให้เห็นบ่อยอยู่แฮะ) เลยพอจะดูหนังจนจบได้ โดยใจก็คิดเสียดายอยู่เหมือนกัน ถ้าหนังทำให้มันพอดีกว่านี้ หรือทำให้มันกลมกล่อมแบบหนังเรื่องก่อนๆ ของพี่ Will อย่างเช่น Anchorman (ทั้ง 2 ภาค), The Other Guys หรือ Daddy’s Home ก็คงดีน่ะครับ ถ้าทำดีๆ นี่ต่อภาค 2 ได้เลยนะ

ส่วนรายได้หนังก็ถือว่าไปไม่ได้ไกลครับ ลงทุนราว $42 ล้าน ซึ่งจริงๆ ถือว่ากำลังดีนะ ไม่เยอะเกิน ในขณะที่รายได้ทำไป $40 ล้านจากทั่วโลก ก็คือขาดทุนนั่นแหละครับ

ยอมรับว่าจนนาทีนี้ผมยังแอบเสียดายอยู่เลยครับ ขอเพียงแค่หนังทำออกมาในสไตล์ของ Will Ferrell แบบที่คนดูรักก็คงโอเคไปแล้วล่ะ แต่นี่เล่นไปผิดสาย ผลที่ได้เลยผิดทางกันไป

ดาวครึ่งครับ

Star12

(5/10)