The Lost City เรื่องนี้ตั้งใจจะดูเพื่อผ่อนคลายเลยครับ ไม่คาดหวังอะไรมาก ขอเพียงดูสนุกเพลินก็พอ แล้วผลที่ได้ก็ตามนั้นครับ
หน้าหนังชวนให้นึกถึง Romancing the Stone เรื่องของพระเอกนางเอกที่ไปผจญภัยกลางป่าเขา แล้วก็ค้นหาสมบัติที่ซ่อนอยู่ ตามสูตรเป๊ะครับ เป็นหนังโรแมนติกเบาสมองบวกผจญภัยที่ดูได้เพลินๆ อีกเรื่อง
แต่ถ้าว่าถึงความสนุกแล้ว เรื่อง Romancing the Stone จะโอเคกว่าครับ ในขณะที่เรื่องนี้ผมว่าก็อยู่ในระดับประมาณ Fool’s Gold (ที่ Matthew McConaughey เล่นคู่กับ Kate Hudson) ครับ
Sandra Bullock กับ Channing Tatum เล่นคู่กันได้ไม่เลวครับ Bullock ก็มาแนวถนัด เป็นหญิงแกร่งสาวมั่นที่อาจจะกะเปิ้บกะป้าบบ้างแต่ก็พึ่งพาตัวเองได้พอตัว ในขณะที่ Tatum ก็มาในมาดนายแบบที่ห่วงหล่อเป็นหลัก ไม่ค่อยได้ออกมาผจญโลก เราก็เลยจะได้พบอะไรฮาๆ จากพี่แกเยอะหน่อย
Daniel Radcliffe ก็มารับบทวายร้ายต้นเรื่องที่ทำให้พระนางต้องออกไปผจญภัย มาดก็ใช้ได้ครับ แต่อาจไม่ถึงกับเด่นมาก ส่วน Brad Pitt ก็มาขโมยซีน แต่ก็กะอยุ่แล้วล่ะว่าพี่แกคงมีบทไม่เยอะหรอก และอีกคนที่เด่นใช้ได้ก็คือ Da’Vine Joy Randolph ในบทเบธ เอเย่นต์ของนางเอกที่พยายามสุดชีวิตที่จะพานักเขียนเพื่อนสาวของเธอกลับมา ฉากที่เธอไปพล่ามกับเจ้าหน้าที่เพื่อขอให้ช่วยก็ฮาดีครับ
อยากได้อะไรผมว่าก็ได้ครบนะ ดาราเล่นกันสนุกๆ ลื่นไหลไปตามบท มีความฮาแทรกเป็นพักๆ (เพียงแต่อาจจะไม่ได้ฮาแตกฮาแหลกอะไรขนาดนั้น) มีโหมดโรแมนติกให้พระ-นางได้หวานกันเป็นระยะ แล้วก็มีแอ็กชันผจญภัยผสมลงไป ตอนท้ายก็ได้อารมณ์หนังล่าสมบัติเล็กๆ ตอนจบก็แฮ้ปปี้กันไป อย่างที่บอกน่ะครับ อยากได้อะไรก็ได้ตามนั้น
ผมชอบปมของนางเอกนะครับ มันอาจเป็นอะไรที่ลงสูตรอยู่บ้าง แต่ก็เป็นสูตรที่สอนใจเราได้เสมอ – ลอเรตต้านั้นเป็นนักเขียนนิยายผจญภัยหวานซึ้งที่เคยมีคนรักอยู่เคียงข้างครับ แต่พอเขาจากไปเธอก็หมดอาลัย หันหลังให้กับโลก ไม่คิดจะก้าวออกจากห้องไปใช้ชีวิต จมอยู่กับอดีตและความรู้สึกอ้างว้างโดดเดี่ยว อีกทั้งยังชอบตัดสินโลกหรือใครต่อใครจากมุมมองของตนเอง โลกของเธอเลยหดแคบลงทุกวันๆ
การผจญภัยหนนี้เลยเป็นการดึงเธอออกจากโลกใบเล็กน่ะครับ ออกมาสัมผัสกับโลกจริงๆ และการที่อลัน (Tatum) มาคอยช่วยเหลือเธอก็ทำให้เธอได้ก้าวไปสู่ชีวิตบทใหม่อีกครั้ง มันอาจเป็นสูตรเดิมๆ ที่หนังหลายเรื่องใช้กันมานักต่อนัก แต่ผมว่าชีวิตคนมากมายก็เคยเป็นแบบลอเรตต้าครับ เคยโดนบางช่วงบางตอนของชีวิตกักขังเหนี่ยวรั้งเอาไว้ ยิ่ง Struck กับมันมากๆ ก็มีแต่จะทำให้ชีวิตดิ่งลงหลุมดำไปเรื่อยๆ
บางทีมันก็ต้องออกมาจาก Comfort Zone ครับ มันต้อง Move on ไปทำอะไรอย่างอื่น ไปสรรหาสิ่งใหม่ใส่ชีวิต ไม่อย่างนั้นแล้วชีวิตเราจะไม่ได้ก้าวไปไหนเลย
โดยรวมแล้วก็ถือว่าไม่ผิดหวังครับ ดูเอาเพลินเอาสนุก แล้วก็ได้แง่คิดนิดหน่อยติดหัวกลับมา ก็ถือว่าโอเคน่ะครับ แม้จะไม่ได้สุดยอดอะไรมากก็ตาม
สองดาวกว่าครับ
(6.5/10)
ขอสปอยล์จุดที่ชอบเพิ่มอีกหน่อยนะครับ
ผมชอบตอนท้ายครับ ชอบความหมายที่แท้จริงของสมบัติอันสื่อถึงความรัก ที่บางครั้งก็สมบัตินั้นก็ไม่ใช่ของล้ำค่าราคาแพง แต่เป็นสิ่งแทนใจที่มีความหมายอย่างลึกซึ้งต่อใครบางคน – ผมเชื่อว่าหลายท่านก็มีสมบัติแห่งความรักที่ล้ำค่าแบบนี้อยู่ครับ อาจเป็นปากกาสักด้าม แก้วน้ำสักใบ หรือผ้าเช็ดหน้าสักผืน… ผมชอบอะไรแบบนี้จัง
อีกอย่างที่ชอบคือตอนที่ลอเรตต้าตัดสินใจทิ้งแหวนไว้ที่โลงศพนะครับ มันเป็นอะไรที่เท่ห์ดี เพราะปกติเวลาคุณไปหาขุมสมบัติเนี่ย คุณจะไปเพื่อเอาอะไรสักอย่างที่มีค่ากลับออกมาจากที่แห่งนั้น แต่กับเรื่องนี้กลายเป็นว่าลอเรตต้าเลือกจะทิ้งของที่มีค่าทางใจของเธอไว้ที่นั่น แล้วใช้มันเป็นวาระแห่งการเริ่มต้นใหม่ วาระแห่งการ Move on – จุดนี้เป็นอะไรที่ชอบครับ เขียนบทในจุดนี้ได้เข้าท่าจริงๆ
หมวดหมู่:Action, Adventure, รีวิวหนัง/ภาพยนตร์, Comedy, Romance, Treasure Hunting Movies