ผมให้เวลาตัวเองหลายวันสักหน่อยหลังดู The Matrix Resurrections ครับ ก็กลายเป็นว่าจะผ่านไปกี่วันความรู้สึกที่มีต่อหนังก็ยังเหมือนเดิม
แน่นอนว่าการร่ายของผมจะมีสปอยล์ครับ ดังนั้นผมจะสรุปความสั้นๆ ที่บรรทัดนี้แบบไม่สปอยล์ก่อนว่า The Matrix ภาคนี้ก็ดูได้เรื่อยๆ ครับ แต่ผมชอบ 3 ภาคแรกมากกว่า จริงๆ คือคิดว่า 3 ภาคแรกนั้นก็จบสมบูรณ์ในแบบของมันไปแล้ว ไม่ต้องมีภาคต่อตามมาก็ได้ แต่ไหนๆ เขาก็ทำออกมาแล้วก็ต้องขอตามไปดูสักหน่อยในฐานะที่ติดตามกันมานานน่ะนะครับ เอาเป็นว่าถอดความคาดหวังวางไว้ก่อนดูก็แล้วกัน
================
ถัดจากนี้มีสปอยล์นะครับ
ไม่อยากทราบหยุดอ่านได้เลย
================
ส่วนผมนั้นก่อนดูก็ลดความคาดหวังไปเรียบร้อยครับ เพราะตระหนักว่าการจะทำให้ออกมาสนุกเทียบรัศมีกับภาคแรกได้นั้นมันเป็นเรื่องยาก แต่ที่เข้าไปดูนั้นก็เพราะอยากรู้ว่าเขาจะเอาเรื่องอะไรมาเล่าต่อ ตามประสาคนคุ้นเคย
แต่กระนั้นหัวผมมันก็คิดไปตามประสาน่ะครับ ว่าพล็อตเรื่องก็คงเป็นภาคต่อ (แม้จะมีการให้ข่าวสับขาหลอกเป็นพักๆ ว่าไม่ใช่ภาคต่อบ้าง หรือเป็นภาคต่อเฉพาะจากภาคแรกบ้างก็ตาม) เรื่องมันคงเป็นว่ามีใครสักคนหรืออะไรสักตนไปทำลายสันติภาพที่นีโอ (Keanu Reeves) อุตส่าห์สละชีพสร้างเอาไว้ จนทำให้สงครามระหว่างมนุษย์กับจักรกลเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง ส่วนว่าใครจะเป็นต้นเหตุหรือทำไปเพราะอะไรก็แล้วแต่ว่าหนังจะกำหนด
และแน่นอนครับว่าพอมีคนทำเสียก็ต้องมีคนตามมาซ่อม ซึ่งมันก็คงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเดอะวันของเรา – ในกรณีของหนังภาคนี้อาจต้องเรียกว่า เดอะทู ครับ เพราะแพ็คคู่มากันสองคน แล้วก็เดาต่อว่าตอนจบก็คงจบแบบเปิดช่องสำหรับภาคต่อตามธรรมเนียมนั่นแหละ
พอเข้าไปดูแล้วก็ได้อะไรตามที่คิดไว้สมใจครับ ^_^
สิ่งแรกที่จำติดหัวหลังดูจบก็คือ นีโอเนี่ยท่าทางน่าจะเคารพภรรยานะครับ คือดูทรงแล้วเนี่ยถ้านีโอเป็นช้างเท้าหน้า ทรินิตี้ก็คงเป็นควาญช้าง เธอดูหนักแน่นนำหน้า ส่วนนีโอนี่ออกแนวค้อมตัวก้มหน้าคารวะเมียอยู่ในที (มาทางเดียวกับยิปมันครับ 5555)
สำหรับตัวหนังแล้ว ว่าตามความรู้สึกคือชอบ 3 ภาคแรกมากกว่าครับ ภาคแรกนี่ไม่ต้องพูดถึงเพราะขึ้นหิ้งไปแล้ว หนังลงตัวทั้งการเล่าเรื่อง เทคนิคพิเศษ ฉากต่อสู้ และโทนไซไฟ ส่วนภาค 2 – 3 ก็ยังถือว่าเด่นในเรื่องแอ็กชันและเทคนิคต่างๆ ในขณะที่ภาคนี้เหมือนเป็นการเอาภาคแรกมาทำใหม่น่ะครับ แต่โทนกับบรรยากาศมันจะไม่อึมครึมแบบภาคแรก ก็พอเข้าใจว่าคงจะพยายามเดินบนทางสายใหม่
เนื้อเรื่องก็นั่นแหละครับ มีเหตุให้นีโอกับเหล่ามนุษย์ต้องต่อสู้กับพวกเครื่องจักรอีกจนได้ ตามด้วยการที่นีโอต้องสู้เพื่อทรินิตี้ (Carrie-Anne Moss) แต่ความเข้มข้นหรือตื่นเต้นกลับไม่มากเท่าที่ควร ฉากต่อสู้ก็ดูธรรมดาครับ (ใครคาดหวังในส่วนนี้ ขอแนะนำให้ไปเสพ John Wick จะตอบโจทย์กว่ากันมากครับ) และตัวละครทั้งหลายเรื่องในเรื่องก็ไม่น่าจดจำแบบไตรภาคแรกทำเอาไว้ จริงๆ ก็พอเข้าใจน่ะนะครับว่าหนังมีการปรับอะไรหลายๆ อย่างเพื่อไม่ให้ซ้ำทางกับไตรภาคเดิม และพยายามหาอะไรใหม่ๆ ใส่ลงไป อย่างคาแรคเตอร์ตัวละครก็เหมือนตั้งใจจะให้ต่าง อย่างมอร์เฟียส (Yahya Abdul-Mateen II) นอกจากหนุ่มขึ้นแล้ว ยังติดเล่นพูดเล่นเป็นระยะ ในขณะที่บทบั๊กส์ ของ Jessica Henwick ก็เป็นเหมือนส่วนผสมระหว่างทรินิตี้กับไนโอบีน่ะครับ แต่กระนั้นความเด่นก็ยังไม่มาก
และคนที่ติดใจผมสักหน่อยก็คือ Neil Patrick Harris กับบทจิตแพทย์ที่ไปๆ มาๆ ก็มีอะไรมากกว่านั้น ผมเข้าใจว่าบทนี้ทรงจะมาประมาณเมโรวิงเจี้ยนเมื่อภาคก่อนที่เลิศๆ หรูๆ มีอารมณ์ขันแสบๆ บวกเข้ากับบทสถาปนิก ซึ่งพี่เขาก็เล่นในทรงขำได้อยู่ครับ แต่ยังดูไม่มีบารมีในแบบที่ควรจะเป็น และพูดถึงพี่เมโรแล้ว พี่แกก็กลับมาจริงๆ ครับ Lambert Wilson รับบทเหมือนเดิม แต่ผมว่าแกออกมาแนวฮาครับ ออกมาพล่ามบ่นเรื่องโลกโซเชียล เรื่องหนังภาคแยกภาคต่อ ก็ฮาดี แต่บารมีก็หายหมดอีกเหมือนกัน
Jonathan Groff ในบทสมิธก็กลางๆ ครับ เพราะของเดิม Hugo Weaving ทำมาตรฐานไว้สูงมาก การจะเดินตามรอยนั้นไม่ใช่ของง่าย อันนี้ก็เห็นใจเขาเหมือนกัน (เห็นว่าตอนแรกเขาจะให้ Weaving กลับมาแสดง แต่เพราะติดคิวถ่ายหนังเรื่องอื่นก็เลยไม่ได้กลับมา เป็นอะไรที่น่าเสียดายครับ)
พระ-นางของเรื่องก็ถือว่าไว้ใจได้ครับ ส่วนหนึ่งคงเพราะรับบทเดิม (ในชาติใหม่) พวกเขาก็ยังดูเป็นนีโอและทรินิตี้เหมือนเดิม และจริงๆ เรื่องส่วนของพวกเขานี่สามารถเพิ่มอะไรลงไปได้ นั่นคือความโรแมนติกครับ เพราะแรงขับด้านความรักระหว่างนีโอและทรินิตี้ก็ถือเป็นประเด็นสำคัญในเรื่องเหมือนกัน แม้หนังให้เวลากับเรื่องนี้พอสมควร แต่กระนั้นมันก็ยังไม่ถึงระดับที่น่าจดจำ
จะว่าไปแล้วตอนต้นเรื่องมีการให้ตัวละครมาพูดถกเกี่ยวกับ The Matrix (โลกในหนังภาคนี้กลายเป็นว่า The Matrix คือเกมๆ หนึ่ง) ซึ่งการถกที่ว่านี่ก็เหมือนการแซวตัวเองอยู่กลายๆ ครับ แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ได้มีอะไรใหม่ เพราะเรื่องที่เขาถกกันนั้นเชื่อว่าแฟนๆ The Matrix น่าจะเคยได้ยินหรือได้อ่านกันมาไม่มากก็น้อย
แอบคิดด้วยซ้ำครับว่าถ้าหนังลดส่วนของการถกเรื่อง The Matrix ลง (เพราะจริงๆ มันก็ไม่ได้ใหม่) แล้วให้เวลากับความรู้สึกโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงาของนีโอกับทรินิตี้ เหมือนชีวิตพวกเขาขาดอะไรไปบางอย่าง จนพวกเขาอดรนทนไม่ได้และต้องตามหากันและกันอย่างสุดใจ ทำให้รักของนีโอกับทรินิตี้ดูมีพลังมหาศาลและเปี่ยมความหมายมากขึ้น มันก็น่าจะเข้าท่าอยู่
ก็คงสรุปได้ประมาณนี้ครับ ดูไปแบบเรื่อยๆ ตั้งแต่ต้นจนจบ นอกจากเนื้อหาที่พยายามเล่าเรื่องใหม่กับตัวละครใหม่บางตัวแล้ว ส่วนอื่นๆ ก็ถือว่ากลางๆ คงต้องบอกว่ามาตรฐาน 3 ภาคแรกทำไว้สูงก็เลยน่าเห็นใจสำหรับการทำตอนต่อ ซึ่งจะมีภาคต่อไปหรือไม่ก็ขึ้นกับรายได้เป็นสำคัญ ถ้ามีทำภาคต่อมาอีกก็พร้อมดูครับ ส่วนจะสนุกหรือไม่ค่อยมาว่ากันอีกที
สำหรับผม แม้จะรู้สึกเรื่อยๆ กับภาคนี้ แต่ก็ถือซะว่าแวะไปทักทายเพื่อนเก่าอย่างนีโอและทรินิตี้ ได้เห็นพวกเขาจับมือโบยบินเคียงคู่กัน, ได้เห็นชะตาพี่เมโรวิงเจี้ยน (ยังคงขำอยู่ 555) ได้เห็นซาที (Priyanka Chopra Jonas) เมื่อเติบใหญ่ ได้เห็นไนโอบี (Jada Pinkett Smith) ที่จะว่าไปเธอก็เดินทางมาไกลเหมือนกัน… ก็โอเคน่ะครับ
สำหรับภาคนี้ สองดาวครับ
(6/10)
หมวดหมู่:Action, รีวิวหนัง/ภาพยนตร์, Sci-Fi