จริงๆ แล้ว Five Star Christmas มีองค์ประกอบของหนังโรแมนติก+คริสต์มาสชั้นดีอยู่ครบเลยนะครับ ไม่ว่าจะพล็อตเรื่องเป๊ะตามสูตรสำเร็จแห่งความสุข, ตัวละครสมทบที่มีคาแรคเตอร์เฉพาะ, มุกตลกและซีนที่แทรกความประทับใจ บวกด้วยบรรยากาศดีๆ ในช่วงคริสต์มาส
หนังเล่าเรื่องของครอบครัวราลสตันที่ผู้เป็นพ่อ (Robert Wisden) ตัดสินใจเปลี่ยนบ้านตัวเองให้เป็นโรงแรมโดยทุ่มเอาเงินทั้งหมดไปกับการตกแต่ง แต่ปัญหาคือไม่มีคนเข้ามาพักเลยน่ะครับ และหากปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปบ้านก็อาจจะโดนยึด ทำให้ลูซี่ (Bethany Joy Lenz) ลูกสาวของเขาต้องหาทางดึงคนมาพักให้ได้ แล้วนั่นล่ะครับจุดเริ่มของเรื่องวุ่นวายสารพัดต้อนรับวันคริสต์มาส
อย่างที่บอกครับ หนังมีองค์ประกอบดีๆ อยู่ครบ เป็นองค์ประกอบที่คอหนังโรแมนติก+คริสต์มาสจะต้องถูกใจ แต่ปัญหาประการสำคัญคือการปรุงองค์ประกอบดีๆ เหล่านั้นเข้าด้วยกันยังไม่กลมกล่อมเท่าที่ควร
พูดตรงๆ คือหนังมีองค์ประกอบที่ว่าใส่ลงไปให้เราเห็นครับ แต่การร้อยเรียงเล่าเรื่องยังไม่กลมกลืนเป็นเนื้อเดียว บางช่วงก็เหมือนเอาฉากนั้นมาต่อฉากนี้โดยไม่ได้มีการเชื่อมกันแบบเหมาะๆ หรือบางซีนที่ผมว่าสอดแทรกความประทับใจนั้น หากมีการปูพื้นดีๆ หรือเกริ่นปูพื้นให้คนดูรับรู้และสัมผัสทางอารมณ์ก่อนฉากเหล่านั้นจะเดินทางมาถึง ดีกรีความประทับใจและความซึ้งก็จะมากยิ่งขึ้น
จริงๆ ผมโอเคกับหนังครับ อย่างที่บอกว่ามันครบเครื่องสำหรับหนังแนวนี้ แต่มันก็ทำให้หวนคิดถึงหนังโรแมนติกสมัยยุค 90 ที่การร้อยเรียงเรื่องราวมันจะกลมกล่อม มันจะค่อยๆ โอบกอดเราอย่างแผ่วเบาตั้งแต่ตอนต้น ค่อยๆ ทำให้เราซึมซับสัมผัสความอบอุ่นทีละน้อย จนเราจะรู้สึกแบบเต็มอารมณ์เมื่อหนังจบ ว่าง่ายๆ พอดูแล้วอิ่มเอมสุขใจ ดูแล้วสบายใจจนอยากดูอีก ผมว่านั่นคือเสน่ห์ของหนังแนวนี้ที่ทำให้ผมโปรดปรานหนังรักหรือหนังครอบครัวในวันคริสต์มาสเสมอมา
แต่กับเรื่องนี้ มันมีฉากดีๆ อยู่เป็นระยะครับ ไม่ว่าจะความรักของพ่อลูก, ความใส่ใจของคนในครอบครัว, ความรู้สึกภูมิใจยามคนในครอบครัวทำสิ่งดีๆ สำเร็จได้ หรือบรรยากาศสนุกสนานในงานคริสต์มาสของเมืองเล็กๆ หรือฉากที่ผมชอบเป็นพิเศษอย่างตอนที่วอลเตอร์ (Jay Brazeau) คุณปู่ของครอบครัวรอลสตันที่ตอนแรกตกลงกับลูซี่ไว้ว่าจะไม่ไปเที่ยวงานคริสต์มาสในเมือง (เพื่อปกป้องความลับบางประการให้กับโรงแรม) แต่ในที่สุดแล้ววอลเตอร์ก็ทนไม่ได้ และจะขอไปงาน
เหตุผลฟังแล้วก็เข้าใจได้ในทันทีครับ เขาบอกว่า “ผมอายุปูนนี้แล้ว ไม่รู้จะได้ไปงานคริสต์มาสอีกสักกี่ครั้ง” จริงๆ นี่เป็นเหตุผลที่มีน้ำหนักมากนะครับ เพราะมันจริงอย่างที่เขาบอก เขาอายุมากจนเข้าโซนแง้มฝาโลงแล้ว จะได้ไปงานคริสต์มาสในปีต่อไปไหมก็ไม่รู้ แล้วจะไม่ให้เขาไปงานได้อย่างไร
เนี่ยครับ หนังมีฉากลักษณะนี้สอดแทรกอยู่เรื่อยๆ แต่น่าเสียดายตรงที่ฉากที่ว่าเหล่านี้ถูกใส่ลงมาในหนังแบบ “ใส่ลงไปเพื่อให้มี” แต่ไม่ได้รับการร้อยเรียงให้แต่ละฉากดูเป็นเนื้อเดียวกัน ยอมรับครับว่าเสียดายจริงๆ เพราะหนังแนวนี้แบบที่มีองค์ประกอบครบๆ แบบนี้ไม่ได้มีมาบ่อยๆ เรื่องนี้อุตส่าห์มีครบแต่ขาดความกลมกล่อมไป แล้วประเด็นที่ผมยกตัวอย่างมานั้น หากได้รับการต่อยอดล่ะก็ มันจะนำมาซึ่งความประทับใจอีกไม่น้อยเลยทีเดียว แล้วจริงๆ หนังยังมีอีกหลายประเด็นเลยครับ ไม่ว่าจะเรื่องของคุณปู่, เรื่องการที่ต้องอยู่เพียงลำพังของคุณพ่อ (ที่รู้สึกว่าบ้านโล่งยามที่ลูกไม่อยู่ จนต้องเปิดโรงแรมแก้เหงา) หรือเรื่องการค้นหาตัวตนของแอมเบอร์ (Grace Beedie) ไหนจะเรื่องสูตรอาหารของคุณแม่อีก เรียกว่าถ้าผูกดีๆ นี่หนังจะมีอะไรให้ประทับใจเยอะมากๆ น่ะครับ
จะบอกว่าเพราะนี่เป็นหนัง Hallmark สำหรับฉายทางทีวีเลยออกมาเป็นแบบนี้ก็คงไม่ได้ครับ เพราะจริงๆ หนัง Hallmark สมัยก่อน (ยุค 90 – 2000) หลายเรื่องนี่ทำออกมาได้ไม่แพ้หนังโรงเลยนะครับ แต่เหมือนว่าระยะหลังๆ นี่ความกลมกล่อมที่พึงมีและเสน่ห์ดีๆ ของหนัง Hallmark มันดูลดลงอย่างไรก็ไม่ทราบ หลายเรื่องนี่มีองค์ประกอบดี แต่การเดินเรื่องและความกลมกล่อมจะยังไม่มากเท่าที่ควร
อีกจุดหนึ่งที่ติดใจหน่อยๆ คือการแสดงของตัวละครที่ผมว่าบางคนแสดงดูขัดๆ ไปนิด บางครั้งดูเหมือนจงใจแสดงมากไปหน่อยน่ะครับ อันนี้ก็ติดในใจอยู่หน่อยๆ เหมือนกัน
แต่ก็นั่นล่ะครับ ถ้าถามว่าดูแล้วสบายใจไหม ผมก็สบายใจนะ เพียงแต่อาจจะยังไม่เต็มอิ่มแบบที่ควรจะเป็นเท่านั้น
สองดาวกว่าๆ ครับ (กว่าๆ ที่ให้นี่ก็ให้เพราะองค์ประกอบดีๆ ที่หนังมีครับ แต่เพราะมันยังไม่กลมกล่อมเต็มที่ เลยยังไม่ถึงครึ่ง)
(6.5/10)
หมวดหมู่:รีวิวหนัง/ภาพยนตร์, Christmas Movies, Comedy, Drama, Family, Romance