Action

The Marksman (2021) คนระห่ำ พันธุ์ระอุ

หลังดู The Marksman จบ ผมมีความรู้สึก 2 แบบเกิดขึ้นครับ แยกออกเป็น รู้สึกต่อตัวหนัง กับ รู้สึกต่อตัวเรื่อง

มาว่ากันที่ตัวหนังก่อน สิ่งแรกที่ต้องบอกไว้ก่อนเลยก็คือ หนังไม่ได้หนักแอ็กชันครับ เอาเข้าจริงแล้วหนังจะออกแนวดราม่าผสมระทึกขวัญ แล้วก็เดินเรื่องสไตล์ Road Movie แบบมีกลิ่นอายความเป็นหนังคาวบอยเจืออยู่ แบบนั้นมากกว่าครับ

ลุง Liam Neeson รับบท จิม อดีตนาวิกโยธินที่ต้องอยู่เพียงลำพังหลังเสียภรรยาไป แล้วตอนนี้ที่ดินของเขาก็กำลังจะถูกยึดอีก เรียกว่าชีวิตกำลังอยู่ในช่วงสับสนเลยครับ แล้วก็พอดีที่เขาไปเจอแม่ลูกคู่หนึ่งหนีข้ามชายแดนมาแล้วก็ถูกตามล่าโดยพวกค้ายาสุดโหด จิมเลยตัดสินใจกระโดดเข้าขวาง แล้วนั่นล่ะครับคือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด

ความรู้สึกที่ผมมีต่อหนังมันก้ำกึ่งกันอยู่พอสมควร จุดที่โอเคยังคงเป็นการแสดงดีๆ ของลุง Liam ที่เล่นเรื่องไหนก็ได้ใจเรื่องนั้น และผมออกจากชอบบทจิมในเรื่องนี้ด้วย เพราะเป็นบทที่มีหลายมิติดีครับ คือไม่ได้เป็นฮีโร่จ๋าแบบเกินร้อย ในเรื่องเขาเป็นคนที่มีอดีต ผ่านโลกมามาก มีอารมณ์รักโลภโกรธหลงตามประสาปุถุชน บางครั้งก็ตัดสินใจผิดพลาดได้เหมือนกัน แต่หลักๆ เขาก็เป็นคนดีนั่นแหละครับ

อีกอย่างคือฝีมือต่อสู้ในเรื่องนี้ลุงเขาก็ไม่ได้เทพเหมือนหนังเรื่องก่อนๆ เรียกว่าฝีมือมีเท่าที่สังขารจะอำนวย ดังนั้นใครคาดหมายจะดูลุงเขาแอ็กชันมันส์สะใจหรือฉลาดเป็นกรดล่ะก็ขอให้ทำใจไว้เลยครับ เรื่องนี้ลุงเขาก็แค่คนธรรมดาน่ะ – ในจุดนี้ตอนแรกผมก็รู้สึกขัดๆ นะ แต่พอดูไปจนจบผมกลับรู้สึกผูกพันกับจิมไม่น้อยเลยเหมือนกัน

อย่างหนึ่งที่ผมรู้สึกระหว่างดูคือรู้สึกเหมือนกำลังดูหนังของปู่ Clint Eastwood ยังไงก็ไม่รู้ คือโทนและอารมณ์ รวมถึงจังหวะการเดินเรื่องมันให้ความรู้สึกแบบนั้นจริงๆ พอดูชื่อผู้กำกับก็ถึงบางอ้อครับ เขาคือ Robert Lorenz ที่กำกับเรื่องนี้เป็นงานชิ้นที่ 2 ส่วนงานชิ้นแรกคือ Trouble with the Curve ที่มีปู่ Clint แสดงนั่นแหละ แต่พอย้อนประวัติไปนี่จะพบว่า Lorenz ร่วมงานในกองถ่ายหนังของปู่ Clint มา 20 กว่าปีแล้วครับ (ตั้งแต่สมัย The Bridges of Madison County โน่น)

ดังนั้นจึงไม่แปลกที่สไตล์ของหนังจะมาทางเดียวกับหนังของปู่ Clint แบบสุดๆ และในหนังเองก็มีการคารวะปู่ Clint โดยการเอาฉากหนึ่งจากหนังเรื่อง Hang ‘Em High ใส่ลงมาด้วย (Lorenz บอกว่าเป็นการแสดงความเคารพที่เขามีต่อปู่ Clint ซึ่งเป็นเหมือนอาจารย์คนสำคัญของเขาครับ)

โทนหนังแบบปู่ Clint ก็จะประมาณนี้น่ะครับ คือเดินเรื่องแบบเรื่อยๆ ไม่เร่งเร้าหรือตื่นเต้นอะไร เน้นให้เรารู้จักกับตัวละครไปทีละนิด บางครั้งก็ตัดสลับกับฉากสวยๆ วิวดีๆ ซึ่งจริงๆ ผมก็ชอบสไตล์นี้นะ แต่ก็คิดเหมือนกันว่าด้วยเรื่องราวแล้วหนังควรจะมีความระทึกและความน่าติดตามมากกว่าที่เป็น ดังนั้นก็เลยพอจะบอกได้ครับว่าถ้าใครไม่สันทัดหนังเรื่อยๆ ช้าๆ ไม่เร่งไม่เร้า (ทั้งๆ ที่เหตุการณ์ในเรื่องดูจะเร่งเร้าและคอขาดบาดตาย) ก็อาจจะเบื่อหนังเรื่องนี้ได้

จุดที่ชอบอีกอย่างคือดนตรีของ Sean Callery ครับ ในตอนต้นๆ อาจจะไม่เด่นนัก แต่ตอนจบนี่สกอร์ของเขาถือว่ารับอารมณ์บทสรุปของหนังได้อย่างพอเหมาะพอดี

ส่วนที่รู้สึกว่ายังพร่องสำหรับหนัง นอกจากการเดินเรื่องที่ช้าไปในหลายๆ วาระแล้ว การเล่าเรื่องก็ยังไม่ชวนให้ติดตามเท่าที่ควร  ในขณะที่ตัวละครในเรื่องก็รู้สึกว่ายังไม่สุด อย่างตัวลุง Liam ที่แม้จะแสดงได้ดี แต่ก็รู้สึกครับว่าบทนี้ยังสามารถมีอะไรมากกว่านี้ได้ และอีกคนที่ถือว่าขึ้นจอตีคู่กับลุง Liam ก็คือ Jacob Perez ในบทมิเกล ที่ความเด่นในเชิงการแสดงอาจยังไม่เยอะ แต่อย่างน้อยบทพูดในหลายๆ ตอนของเด็กคนนี้ก็ทำให้บทมิเกลดูน่าสนใจขึ้นมาบ้าง แต่ก็นั่นแหละครับ ยังไม่มากเท่าที่ควรอยู่ดี

บทตัวร้าย Juan Pablo Raba ก็ดูเหี้ยมตามบทครับ แต่มิติบางอย่างดูจะพร่องไป (เพราะจริงๆ การที่เขามาตามล่าจิมนั้น นอกจากเรื่องงานแล้ว ยังมีเรื่องส่วนตัวปนเข้ามาด้วย) และอีกบทหนึ่งที่ดูเหมือนจะมีอะไรในตอนแรกอย่าง ซาร่าห์ (Katheryn Winnick) ก็ค่อยๆ ลดบทบาทลงในตอนท้าย (แต่ถ้ามองในอีกแง่หนึ่ง บทนี้ก็ช่วยทำให้เห็นภาพความโดดเดี่ยวของจิมมากขึ้น)

นั่นล่ะครับที่ผมรู้สึกต่อตัวหนัง ก็คือดูได้แบบเรื่อยๆ จนออกจะเรื่อยไปสักหน่อย ถ้าเร่งเร้ากว่านี้ ตื่นเต้นกว่านี้ เข้มข้นกว่านี้ก็น่าจะสนุกกว่าที่เป็น ว่าแบบตรงๆ ก็คือหนังไม่อร่อยกลมกล่อมเท่าผลงานเรื่องก่อนหน้าของลุง Liam นั่นเอง

ส่วนความรู้สึกที่ผมมีต่อตัวเรื่องก็ต้องบอกไว้ก่อนล่ะครับว่าสปอยล์แน่นอน ดังนั้นใครไม่อยากทราบไม่ควรอ่านต่อแล้วนะครับ จบที่บรรทัดนี้พอ

แม้ตัวหนังผมจะรู้สึกเรื่อยๆ แต่ผมชอบเรื่องราวนะ มันคือพล็อตว่าด้วย “บทสรุปท้ายของชายชราสักคนหนึ่ง” เป็นพล็อตที่เราเห็นกันมาก็หลายเรื่อง อย่างปู่ Clint ใน Gran Torino หรือหนังซูเปอร์ฮีโร่อย่าง Logan ก็มาทางนี้เหมือนกัน

จุดนี้ก็ต้องชมลุง Liam ด้วยนะครับ เขาเล่นหนังได้ดี ทำให้เรารู้สึกผูกพันกับตัวละครไม่น้อย โดยส่วนตัวแล้วผมรู้สึกว่าหน้าของลุง Liam เนี่ย เขามีแววตาและโครงหน้าที่ทำให้เรารู้สึกเห็นใจ รู้สึกว่าอยากเอาใจช่วยเสมอ ประเภทว่าถ้าลุงเขาเดินมาแล้วขอให้ผมช่วยอะไรสักอย่างนี่ผมคงยอมแหงๆ ล่ะครับ เขาดูเป็นชายจริงใจที่น่าให้ความช่วยเหลือซะเหลือเกิน

แม้หนังอาจจะไม่ได้เล่าแบบลึกซึ้งยอดเยี่ยมอะไรก็ตาม แต่หลายฉากที่หนังเล่าก็ทำให้เราสงสารจิมอยู่ครับ อย่างการที่ธนาคารจะมายึด หรือตอนที่เขาต้องบากหน้าไปหางานทำ เขาดูน่าสงสารจริงๆ นะ มันทำให้รู้สึกเลยว่าเขาจนหนทางแล้วจริงๆ และการที่เขาตัดสินใจช่วยเหลือเด็กคนหนึ่งให้พ้นจากพวกค้ายานั้น ตอนแรกอาจเป็นการทำไปเพื่อเงิน แต่พอเวลาผ่านไปเขาก็เลือกที่จะทุ่มแบบสุดตัว (ไม่ทำเพื่อเงินแล้ว) เหมือนเป็นงานสุดท้ายของชีวิต ทำอะไรสักอย่างเพื่อทิ้งทวน… แล้วมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ

ดังนั้นส่วนหนึ่งที่ผมค่อนข้างจะโอเคกับหนังพอสมควรก็เพราะพล็อตเรื่องมันเข้าทางด้วยน่ะครับ ได้เห็นชีวิตใครสักคนดำเนินไปจนถึงจุดสุดท้าย ประมาณว่าชีวิตนี้ไม่เหลืออะไรแล้ว ภรรยาก็จากไป ที่ก็จะถูกยึดและบ้านยังถูกพวกคนร้ายเผาอีก ไม่เหลือเพื่อนไม่เหลือใคร อยู่ต่อไปก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะอยู่ทำไม เลยถือโอกาสทำอะไรให้มันสุดๆ ไปเลยแล้วกัน ตายเป็นตาย… ฉากสุดท้ายที่เขานั่งบนรถเมล์แล้วหลับไปนั้น ส่วนหนึ่งก็ใจหายนะครับ แต่อีกใจหนึ่งก็รู้สึกว่า “เขาได้พักผ่อนเสียที”

ผมเชื่อว่าต่างคนต่างก็จะมองเรื่องพวกนี้ต่างกันไปครับ มุมมองจะต่างไปตามชุดความคิด ตามประสบการณ์ ตามวัยที่ผันแปรไป และผมเชื่อว่าจะมีหลายคนที่มองเรื่องราวบทสุดท้ายของจิมอย่างเข้าใจ…

ชีวิตนั้นมีความเปราะบาง มีหนทางของมัน และมีนิยามอันหลากหลายยิ่ง…

ดังนั้นถ้าว่ากันที่ตัวหนัง ก็ถือว่ากลางๆ ครับ ไม่ได้ยอดเยี่ยมอะไร บอกได้เลยว่าถ้าขาดการแสดงของลุง Liam ไปล่ะก็ หนังจะจืดกว่านี้เยอะ และสำหรับผมแล้ว แม้หนังจะไม่ได้ดีเด่อะไร แต่เข้าทางครับ ชอบเรื่องทำนองนี้ ชอบเรื่องราวเสี้ยวสุดท้ายของใครสักคน… ที่หลายครั้งก็สะท้อนสอนให้เราหวนมองชีวิตตนเอง

สองดาวครับ

(6/10)