รีวิวหนัง/ภาพยนตร์

The Empty Man (2020) เป่าเรียกผี

Untitled06475

สิ่งแรกที่สะดุดใจผมก่อนดูหนังเรื่องนี้คือ หนังยาวประมาณ 2 ชั่วโมง 10 กว่านาทีครับ ซึ่งถือเป็นความยาวที่มากอยู่สำหรับหนังสยองสไตล์นี้ เพราะปกติทั่วไปหนังสยองแบบนี้ (แบบที่ว่าด้วยปีศาจหรืออาถรรพ์อะไรสักอย่าง ไล่ล่าคร่าชีวิตคน) มักจะยาวที่ 90 กว่านาที หรืออย่างเก่งก็ 100 นาทีนิดๆ เท่านั้น ใจก็เกิดคำถามเหมือนกันครับว่าเพราะอะไรหนอหนังถึงยาวแบบนี้

ครั้นพอได้ดู ผมก็พอจะได้คำตอบครับ

ช่วงต้นๆ หนังเล่าถึงเด็กวัยรุ่น 4 คนไปผจญภัยไต่เขากันที่ประเทศภูฏานครับ แล้วพวกเขาก็เจอกับเหตุสยองแบบไม่คาดฝัน ถัดจากนั้นหนังก็ตัดมาเล่าถึงเหตุการณ์ในเมืองเล็กๆ ที่อเมริกา เมื่อมีเด็กสาวหายตัวไปอย่างลึกลับ โดยร่องรอยสำคัญในที่เกิดเหตุคือข้อความที่ถูกเขียนด้วยเลือดว่า “The Empty Man made me do it” (ดิ เอ็มพ์ตี้แมน สั่งให้ฉันทำ)

ตัวเอกของเราคือ เจมส์ ลาซอมบรา (James Badge Dale) ครับ ซึ่งเขารู้จักกับเด็กที่หายไปด้วย เขาเลยออกโรงตามสืบและรวบรวมข้อมูลจากเพื่อนของเธอเพื่อหาคำตอบว่าเธอหายไปไหน หายไปเพราะอะไร และคำถามสำคัญคือ “ใครคือ The Empty Man?”

ตอนรู้ว่าหนังเรื่องนี้ยาว 2 ชั่วโมงกว่า ก็แอบคิดเลยครับว่า “จะดูไปเบื่อไปไหมเนี่ยหนา?” และผลกลับกลายเป็นว่าผมไม่ค่อยเบื่อนะ คือมันก็มีเบื่อบ้างในบางช่วงน่ะครับ สักประมาณเลยกลางๆ เรื่องไปแล้ว แต่ผมไม่เบื่อถึงขั้นมากแบบที่คิดไว้ตอนแรก และกลายเป็นว่าผมออกจะโอเคกับหนังมากกว่าที่คิดด้วย

ถ้าถามว่าเพราะอะไร ก็ตอบได้ว่าเพราะหนังมันเข้าทางผมพอสมควรครับ อย่างแรกเลยคือหนังใช้วิธีเล่าเรื่องแบบ “เปิดนิยาย เล่าไปทีละหน้า” ครับ  ตอนต้นก็พูดถึงชะตากรรมของ 4 วัยรุ่น แล้วพอถึงช่วงของเจมส์สืบคดี หนังก็นำพาเราไปรู้จักกับชีวิตของเจมส์ทีละนิด (ซึ่งตามสูตรของหนังแนวนี้ ตัวเจมส์เองก็จะมีอดีตอันขมขื่นอยู่) ปมของคดีก็เริ่มมาทีละหน่อย เช่นเดียวกับตัวตนของ The Empty Man ที่ค่อยๆ ถูกแนะนำผ่านปากตัวละครและสถานการณ์ต่างๆ

มันเป็นสไตล์การเดินเรื่องที่ผมถูกจริตครับ อย่างที่บอกว่าเหมือนเรากำลังอ่านนิยายเปิดไปทีละหน้า ซึ่งจังหวะในการเล่าเรื่องตอนครึ่งแรกถือว่าทำได้น่าพอใจ แต่พอเลยตอนกลางๆ ไปมันก็อาจจะมีช่วงน่าเบื่อแทรกลงมาบ้าง เพราะเหมือนเป็นช่วงรอน่ะครับ ครึ่งแรกก็โปรยปมเสร็จแล้ว ก็รอให้ปมถูกเฉลยในตอนท้าย ตอนกลางๆ เลยออกแนวยืด ซึ่งจริงๆ ช่วงที่ว่านี่หนังจะกระชับลงมาสักหน่อยก็ได้ กล่าวคือไม่ต้องยาวถึง 2 ชั่วโมงกว่าหรอกครับ เอาแค่เกือบๆ 2 ชั่วโมงก็น่าจะพอแล้ว

แต่ก็อย่างที่บอกครับว่าดูแล้วก็พอจะเข้าใจว่าทำไมมันถึงยาว เอาแค่ช่วงแรกที่เล่าเรื่องของ 4 วัยรุ่นที่ภูฏานนั้นก็ล่อไป 20 กว่านาทีแล้วครับ ซึึ่งนับว่ายาวมากสำหรับฉากปูพื้น (ที่ปกติแล้วหนังเรื่องอื่นๆ อย่างมากก็จะไม่เกิน 10 นาที) แต่ก็พอเข้าใจน่ะว่าผู้กำกับเขามีเรื่องอยากจะเล่าอยู่หลายจุด ก็เลยเล่ายาวสักหน่อย หนังเลยออกมายาวอย่างที่เห็น (แต่ก็อย่างที่บอกน่ะครับ บางช่วงน่ะกระชับหน่อยก็ได้)

แต่ถึงจะมีแอบเบื่อบ้าง ทว่าด้วยโทนของหนังและการคุมหนังของผู้กำกับ David Prior ก็จัดว่าดีในระดับหนึ่งครับ หนังมาพร้อมโทนลึกลับชวนสะพรึง สยองแบบกินบรรยากาศ อาจมีตุ้งแช่บ้างแต่ไม่มากครับ ส่วนใหญ่หนังจะเล่นกับบรรยากาศมากกว่า ซึ่งนี่เป็นการกำกับภาพยนตร์เรื่องยาวครั้งแรกของ Prior ครับ ก่อนหน้านี้เขาทำงานเป็นผู้กำกับสารคดีเบื้องหลังหนังอย่าง Panic Room, Zodiac, The Curious Case of Benjamin Button, The Social Network และ The Girl with the Dragon Tattoo

… พออ่านถึงตรงนี้หลายท่านน่าจะเริ่มเอะใจ เพราะชื่อหนังแต่ละเรื่องเป็นผลงานของ David Fincher ทั้งหมดเลยนี่หน่า คำตอบก็คือใช่ครับ เขาทำสารคดีเบื้องหลังการถ่ายทำให้ Fincher มาหลายเรื่อง ดังนั้นจึงไม่แปลกที่จังหวะจะโคนและอารมณ์ของหนังเรื่องนี้จะชวนให้เรานึกไปถึงผลงานซ่อนเงื่อนลึกลับแบบ Fincher เพียงแต่โทนของการซ่อนเงื่อนมันจะออกแนวสยองและเหนือธรรมชาติเท่านั้นเอง (ในขณะที่ของ Fincher จะว่าด้วยมนุษย์เดินดินเป็นหลัก)

จุดที่ชอบต่อมาคือมุมกล้องครับ ผลงานถ่ายภาพของ Anastas N. Michos  นับว่าช่วยเพิ่มความเด่นให้กับหนังได้ระดับหนึ่ง คืองานภาพมันจะออกมาดูมีระดับแบบหนังเกรดเอน่ะครับ คือถ่ายออกมาแบบดูแล้วรู้เลยว่าฉากไหนจะให้คนดูโฟกัสตรงไหน เช่นฉากนี้จะให้เราโฟกัสไปที่คน หรือฉากนี้จะให้เราโฟกัสไปที่แสงซึ่งส่องลงมากลางห้องพอดีอะไรประมาณนั้น โดยเฉพาะฉากที่ตัวละครเดินบนสะพานน่ะครับ เวลาตัวละครเดินกันอยู่ตรงเลนกลาง แล้วกล้องก็ฉายให้เราเห็นมุมกว้างของสะพาน มันดูมีความสมมาตร ตัวละครจะอยู่ตรงกลางของภาพพอดี ซึ่งมันก็ทำให้ฉากนั้นๆ ดูขลังและน่าค้นหาพอสมควร

นี่ล่ะครับ ในแง่ของสไตล์การเล่าเรื่องและการถ่ายภาพผมค่อนข้างโอเคกับมัน เลยทำให้ดูหนังเรื่องนี้ได้แบบเรื่อยๆ โดยรวมแล้วหนังก็อาจจะไม่ได้สุดยอดถึงขั้นห้ามพลาดอะไรน่ะนะครับ เพราจริงๆ แล้วพล็อตแบบที่หนังเล่ารวมถึงบทสรุปของหนังนั้นก็เป็นอะไรที่หลายท่านน่าจะเคยเห็นมาแล้วจากหนังแนวลึกลับเรื่องอื่นๆ ซึ่งผมจะไม่บอกว่าเรื่องอะไรนะครับ เพราะหากบอกไปแล้วท่านที่เคยดูหนังเรื่องนั้นๆ จะเดาออกทันทีเลยว่าจุดหักเหของหนังคืออะไร

ก็อาจจะไม่ได้ชอบอะไรมากครับ แต่พอมีหนังมีองค์ประกอบที่เข้าทาง แล้วผู้กำกับก็คุมองค์ประกอบเหล่านั้นได้ค่อนข้างดี ผมเลยเพลินกับมันพอประมาณ แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นอยากดูซ้ำ จบแล้วก็จบกัน ไม่ถึงกับสมหวังมากๆ แต่ก็ไม่ผิดหวังอะไร ซึ่งอันนี้ก็ต้องแล้วแต่ท่านแล้วครับ ลองถามตัวเองว่าชอบหนังสยองลึกลับแบบเล่าไปทีละหน้าหรือเปล่า ถ้าชอบก็ลองได้ครับ ขอเพียงไม่คาดหวังอะไรท่านน่าจะโอเคกับมัน แต่หากใครคาดหวังความตื่นเต้นเร้าใจ การทิ้งปมที่ชวนติดตามมากๆ หรือฉากสยองโหดๆ หนักๆ แบบกระหน่ำๆ หนังเรื่องนี้ก็อาจจะไม่ตอบโจทย์ท่านครับ

สองดาวครับ(6/10)