Action

News of the World (2020) นิวส์ ออฟ เดอะ เวิลด์

Untitled06335

การดูหนังเรื่องนี้ทำให้ตระหนักเลยครับว่า ระหว่าง “การอยู่ไปวันๆ” กับ “การอยู่เพื่ออะไรสักอย่าง” มันมีความแตกต่างกันเพียงไหน…

ถ้าจะให้สรุปสำนวนคร่าวๆ เกี่ยวกับหนังเรื่องนี้แล้วล่ะก็ ผมมองว่า News of the World คู่ควรแก่การรับชมสักครั้งครา ส่วนว่าท่านจะชอบหรือไม่ ชอบมากน้อยแค่ไหนนั้นก็ย่อมต้องแล้วแต่รสนิยมของแต่ละคน แต่ถึงยังไงก็อยากให้ลองชมกันครับ เพราะแม้หนังอาจจะไม่ถึงกับสุดยอด แต่ก็จัดว่ามีคุณภาพได้มาตรฐานพอตัว และที่สำคัญคือหนังมีสาระดีๆ น่าเก็บเอามาคิดไม่น้อย (โดยเฉพาะถ้าคุณกำลังโหวงๆ กับชีวิต)

หนังเล่าถึงผู้กองเจฟเฟอร์สัน ไคล์ คิด (Tom Hanks) ทหารผ่านศึกที่ตอนนี้หันมาดำรงชีพเป็นนักเล่าข่าว เดินทางจากเมืองหนึ่งไปยังอีกเมืองหนึ่งเพื่อเล่าข่าวให้ผู้คนฟังแลกกับเงิน แล้วทีนี้ระหว่างการเดินทางเขาก็ได้เจอกับโจแฮนนา (Helena Zengel) เด็กวัยสิบขวบที่สูญเสียพ่อแม่ไป และเธอกำลังจะถูกพาตัวไปหาคุณลุงคุณป้า แต่ระหว่างทางดันเกิดเรื่องเธอเลยหลงอยู่กลางป่าตามลำพัง

ผู้กองเจฟเฟอร์สันจึงตัดสินใจจะพาเธอไปส่งด้วยตนเองครับ เลยพาเธอตะลอนดินแดนตะวันตกไปด้วย ระหว่างทางเขาก็เล่าข่าวหาเงินไปเรื่อยๆ  และเราๆ ก็คงพอจะเดากันได้น่ะนะครับ ว่าตอนแรกความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่ค่อยจะดีหรอก เพราะโจแฮนนาก็พูดภาษาอังกฤษไม่ได้และเธอก็ไม่ไว้ใจใครง่ายๆ ด้วย แต่แล้วพอเวลาผ่านไป พอเขาและเธอได้ผจญอะไรมาด้วยกันมากๆ เข้า ความผูกพันห่วงใยก็เริ่มก่อตัวขึ้น

บอกก่อนเลยว่าหนังไม่ได้ครบเครื่องครบรสเท่า True Grit อันนั้นมันลงตัวมากๆ ทั้งในเชิงดราม่า เชิงตื่นเต้น และแอ็กชันแบบหนังตะวันตก ในขณะที่เรื่องนี้จะมีฉากแอ็กชันน้อยครับ หลักๆ จะเทน้ำหนักไปที่ดราม่ามากกว่า และดราม่าที่ว่าก็ไม่ได้เข้มข้นหรือบีบเค้นอารมณ์อะไรมากมาย เพราะมันคือการนำเสนอเรื่องราวการเดินทางร่วมกันของคน 2 คนที่ทั้งต่างวัยและต่างวัฒนธรรม ตัวหนังมันเลยออกจะเรื่อยๆ อยู่ครับ ไม่ได้เร่งเร้าหรือมีปมกระตุ้นให้เราติดตามมากนัก แต่ถ้าถามว่าหนังมันน่าดูเพราะอะไร อย่างแรกเลยก็ต้องยกให้การแสดงระดับยอดเยี่ยมของ Tom Hanks นี่แหละครับ 

Hanks ถือว่าเป็นพลังสำคัญให้กับหนัง พี่ท่านไปได้ดีกับบทนี้ครับ เล่นได้เป็นธรรมชาติ เขาทำให้ผู้กองเจฟเฟอร์สันดูเป็นคนที่ผ่านโลกมามาก ดูมีเลือดเนื้อ และดูมีบางสิ่งซ่อนอยู่ในใจเพียงแต่เขาไม่ใช่คนที่ชอบเปิดเผยมันออกมาให้ใครได้รู้ ซึ่งมันก็ดูขัดกับสิ่งที่เขาทำอยู่ในทีครับ เพราะเขาเป็นคนเล่าข่าว เป็นคนเอาเรื่องของคนอื่นมาบอกเล่าให้ใครต่อใครฟัง แต่เรื่องเกี่ยวกับตัวเองนั้นกลับถูกซ่อนไว้ในใจส่วนลึก อะไรเหล่านี้มันทำให้เราอยากรู้น่ะครับว่าชีวิตของชายคนนี้จะดำเนินไปทางไหนต่อเมื่อเขาได้เจอกับเด็กน้อยโจแฮนนา

ในขณะที่น้อง Helena Zengel นั้นในแง่ฝีมือการแสดงอาจจะยังไม่ได้เด่นมาก แต่ก็ต้องถือว่าน้องเขาเล่นได้ดีในระดับหนึ่งล่ะครับถึงสามารถตีคู่ไปกับ Hanks ได้ แน่นอนว่าส่วนหนึ่งน้องเขาก็ได้รัศมีของพี่ Hanks ช่วยพยุงในหลายช่วงเหมือนกัน

Untitled06336

ระหว่างดูนี่ผมอุทานขึ้นมาเลยครับว่า “หนังเรื่องนี้จริงๆ น่าจะดูด้วยจอใหญ่ในโรง” เพราะหลายฉากถ่ายทำมาเพื่อขึ้นจอใหญ่ชัดๆ โดยเฉพาะสารพัดฉากมุมกว้างที่ฉายให้เราเห็นถึงแดนตะวันตกอันไพศาล หรือรายละเอียดความกว้างขวางของเมืองต่างๆ ที่ 2 ตัวเอกเดินทางไป ซึ่งจุดนี้ขอยกนิ้วให้ผู้กำกับภาพมือเยี่ยม Dariusz Wolski ที่อยู่เบื้องหลังงานดีๆ อย่าง Crimson Tide, Dark City, Pirates of the Caribbean 4 ภาคแรก แล้วก็ Prometheus ครับ ดังนั้นเรื่องภาพนี่ไว้ใจได้ เช่นเดียวกับดนตรีประกอบของ James Newton Howard ที่บรรเลงท่วงทำนองความเป็นหนังตะวันตกผสมเข้ากับอารมณ์ของตัวละครในแต่ละฉากได้อย่างพอเหมาะ (ยอมรับว่าบางห้วงจังหวะก็ทำให้คิดถึง James Horner ขึ้นมาเหมือนกันครับ)

ในแง่งานสร้าง งานภาพ โปรดักชั่นต่างๆ ถือว่าทำออกมาได้ดีคุ้มทุน $38 ล้านแบบสุดๆ ครับ ในแง่ของบทก็ถือว่าโอเค แม้ลึกๆ แล้วผมจะคิดว่าหนังน่าจะปรุงปมโน่นอีกนิดนี่อีกหน่อยใส่ลงไปเพื่อให้หนังมันมีอะไรเข้มข้นมากขึ้น แต่พอมาคิดอีกทีไม่ปรุงมากน่าจะดีกว่าครับ เพราะหนังกำกับโดย Paul Greengrass ซึ่งขานี้ถ้าจะทำหนังออกมาให้มันบีบเค้นเข้มจัดๆ ล่ะก็พี่เขาทำได้อยู่แล้วครับ (ดูจากหนังชุด Bourne ภาค 2 – 3 และ 5, Green Zone และ Captain Phillips เป็นตัวอย่างก็ได้) ดังนั้นการที่ปมอะไรๆ มันดูจะกลางๆ ไม่หนักเกินไปก็น่าจะพอเหมาะแล้ว เพราะขืนปล่อยให้บทหนักกว่าที่เป็นและพี่ Paul เขาจัดเต็มขึ้นมา หนังอาจจะกลายเป็นกดดันจนเกินขนาดไปก็ได้

ในแง่สาระ ผมชอบหลายอย่างในเรื่องนะครับและพอถึงตรงนี้ผมว่าผมกำลังจะสปอยล์แล้วล่ะครับ ดังนั้นแล้วหากใครไม่อยากทราบก็ไม่ควรอ่านต่อครับ

จุดแรกเลยคือผมชอบสิ่งที่หนังสื่อออกมาว่าในตอนแรกนั้นชีวิตของผู้กองเจฟเฟอร์สันค่อนข้าง “อยู่ไปวันๆ” เขาแค่ใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ เล่าข่าวไปเรื่อยๆ ประทังชีวิตไปเรื่อยๆ ไม่รู้สึกว่าตัวเขาหรือสิ่งที่เขาทำมันมีความหมายอะไร แต่ทุกอย่างก็เริ่มเปลี่ยนไปเมื่อเขาตัดสินใจพาโจแฮนนาไปส่งบ้าน เหมือนเขาได้กลับมามีเป้าหมายในชีวิตอีกครั้ง และยิ่งเวลาผ่านไปเขาก็ยิ่งรู้สึกว่าชีวิตที่โล่งโถงว่างเปล่าของเขาเริ่มมีความหมายขึ้นอีกหน และมันก็เลยไม่ใช่เรื่องแปลกที่พอผู้กองส่งโจแฮนนาถึงมือญาติแล้ว พอเขาได้กลับมาอยู่ตามลำพังอีกครั้ง ใจของเขามันจะรู้สึกเหมือนอะไรบางอย่างขาดหายไป มันทำให้เขาตระหนักน่ะครับว่าเขาเจอสิ่งที่จะมาช่วยเติมเต็มให้กับชีวิตที่ว่างเปล่าของเขาแล้วนะ แต่เขากลับทิ้งมันไป มันเลยทำให้เขาทนไม่ได้ต้องกลับไปรับโจแฮนนามาดูแลอีกครั้ง

เราจะเห็นชัดในซีนสุดท้ายครับ เมื่อผู้กองกับโจแฮนนาได้มาอยู่ร่วมกัน พวกเขาดูแลกันและกัน และทำให้การเล่าข่าวของผู้กองไม่ได้เป็นแค่การอ่านที่เอาแต่พูดไปตามตัวอักษรอีกต่อไป แต่มันกลายเป็นการเล่าเรื่องด้วยอารมณ์ความรู้สึกที่อินไปกับเรื่องเล่า อีกทั้งเรื่องที่เล่าก็มีความหลากหลายมากขึ้น ไม่ใช่แค่เรื่องบ้านเรื่องเมืองแบบที่เขาชอบเล่าจากหนังสือพิมพ์ และที่สำคัญคือทั้งผู้กองและโจแฮนนาดูมีชีวิตชีวามากขึ้นกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด

ถึงจุดนี้ก็อยากจะบอกครับว่า น้อง Helena Zengel เล่นฉากตอนท้ายได้น่ารักมากๆ ครับ เธอสื่ออารมณ์ออกมาอย่างชัดเจนเลยว่าเธอมีความสุขแค่ไหนที่ได้อยู่กับผู้กองเจฟเฟอร์สัน โดยส่วนตัวผมถือว่าเป็นตอนจบที่ทำให้รู้สึกบวกกับตัวหนังมากขึ้นพอสมควร

อย่างที่บอกไว้ตั้งแต่ต้นน่ะครับ ว่าสิ่งหนึ่งที่หนังทำให้เราเห็นภาพ คือความแตกต่างระหว่างการอยู่ไปวันๆ กับการอยู่เพื่ออะไรสักอย่าง และมันก็อดไม่ได้ที่จะทำให้เราหันมามองย้อนดูตัวเองว่าตอนนี้เราใช้ชีวิตแบบไหน เราอยู่ไปวันๆ หรือเราอยู่อย่างมีเป้าหมายในชีวิต – บางทีถ้าใครกำลังรู้สึกซังกะตาย การดูหนังเรื่องนี้อาจทำให้ท่านตระหนักถึงอะไรบางอย่างขึ้นมาก็ได้ครับ

และอยากฝากไว้สำหรับท่านที่รู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ไปวันๆ และยังไม่รู้ว่าจะอยู่เพื่ออะไรหรือเพื่อใคร… อย่างน้อยท่านก็สามารถกอดตัวเอง ให้กำลังใจตัวเอง และยืนหยัดอยู่ต่อเพื่อตัวเราเองได้นะครับ – ถ้าไม่รู้ว่าจะมีใครรักเราไหม หรือจะมีใครให้เรารักไหม เราก็ยังมีตัวเราเองนี่แหละครับให้คอยรักและห่วงใย – บางครั้งการรักตัวเองให้เป็น คือจุดเริ่มต้นของอะไรหลายๆ อย่างครับ

Untitled06344

อีกจุดหนึ่งที่ชอบ คือหนังทำให้ตระหนักถึง “พลังแห่งเรื่องเล่า” ครับ อันว่าเรื่องเล่านั้นสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้ฟังได้ มันสามารถให้ความรู้ เสริมความคิด และผลิตความกล้าได้

อย่างฉากที่ผู้กองเจฟเฟอร์สันผ่านไปยังเมืองๆ หนึ่งที่ถูกปกครองโดยกลุ่มผู้มีอิทธิพลที่ปกครองชาวเมืองด้วยความกลัว ชาวเมืองหากอยากอยู่รอดปลอดภัยก็ต้องทำตามคำสั่งของคนเหล่านี้เท่านั้น ขนาดข่าวที่ผู้กองเจฟเฟอร์สันจะนำไปเล่ายังต้องถูกกรองเลยครับว่าข่าวไหนพูดได้ ข่าวไหนพูดไม่ได้

และในเวลาต่อมา ผู้กองเจฟเฟอร์สันไม่ยอมก้มหัวต่อบุคคลเหล่านี้ เขาเลยเลือกที่จะเล่าข่าวที่สอนให้ผู้คนรู้จักยืนหยัดต่อสู้เพื่อชีวิตตน สอนให้ผู้คนตระหนักว่าเราทุกคนสามารถเลือกทางเดินชีวิตตนได้เสมอ และหากคนเรามีความพยายามมากพอ มีความมุ่งมั่นมากพอ เราสามารถเปลี่ยนแปลงอะไรหลายๆ อย่างได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าผู้คนจำนวนมากพอมารวมพลังกัน

สำหรับเมืองแบบนี้ ที่ผู้ถูกปกครองควบคุมด้วยกำลังและความกลัวแบบนี้ สิ่งที่น่ากลัวที่สุดสำหรับผู้ครองเมืองก็คือ การที่คนในเมืองลุกขึ้นมากำหนดชะตาตนเองโดยไม่หวั่นเกรงผู้ครองเมืองอีกต่อไป – นี่เองคือตัวอย่างหนึ่งของพลังแห่งเรื่องเล่า – แต่ขณะเดียวกันผู้ที่รับฟังเรื่องเล่าก็ต้องมีวิจารณญาณที่มากพอในการไตร่ตรองใคร่ครวญหวนคิดอ่าน ไม่ด่วนเชื่อโดยไม่ตรวจสอบให้ดี กล่าวคือ เราควรเอาหลักกาลามสูตรมาช่วยเป็นเครื่องพิจารณาด้วยอีกทางหนึ่ง (กาลามสูตรคืออะไร มีคำตอบอยู่มากมายใน Google ครับ)

Untitled06345

News of the World อาจไม่ใช่หนังตะวันตกที่ครบเครื่อง สมบูรณ์แบบ หรือยอดเยี่ยมจนขึ้นหิ้ง แต่ก็พูดได้ล่ะครับว่าหนังเรื่องนี้ก็มีดีในตัว มีการแสดงดีๆ ของดาราระดับคุณภาพ มีแง่คิดที่ชวนให้เรายิบยกเอามาตรวจสอบการดำเนินชีวิต… ไม่ว่าโลกยุคตะวันตกหรือโลกยุคปัจจุบันก็ตาม ผู้ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นมนุษย์ก็มิควรละเลยในการสำรวจตรวจสอบชีวิตตนเองครับ – ในขณะที่การเดินเรื่อง ปมต่างๆ ก็อาจไม่ได้หนักแน่นหรือหวือหวาอะไรนัก ทำให้โดยรวมๆ แล้วผมมองว่าหนังเรื่องนี้เป็นอีกหนึ่งหนังตะวันตกที่เข้าข่ายดีครับ แต่ยังไม่ถึงขั้นดีมากหรือห้ามพลาดอะไรขนาดนั้น

สองดาวครึ่งครับ

Star22

(7/10)