(บทความนี้เขียนตอนที่ดูจบใหม่ๆ ครับ ตอนนั้นยังไม่มีการประกาศสร้าง 24: Live Another Day และผมก็จะขอคงบทความทั้งหมดนี้ไว้ดังเดิม แบบที่ผมเขียนไว้ในตอนนั้นเพื่อคงอารมณ์ความรู้สึกที่มีต่อปี 8 นี้ได้อย่างครบถ้วนครับ)
นี่คือ 24 ปีสุดท้ายครับ อยากบอกว่าตอนดูนั้นรู้สึกเหนื่อยจริงๆ
“เหนื่อย” ในที่นี้ไม่ได้หมายถึง บู๊มากจนเหนื่อยหรือลุ้นมากจนเกร็ง เพราะจะว่าไปแล้ว ปีก่อนๆ ที่ลุ้นกว่าเกร็งกว่าก็มี อย่างปี 2 กับปี 5 นี่ลุ้นทุกชั่วโมงเลยก็ว่าได้
“เหนื่อย” ในที่นี้ หมายถึง เหนื่อยแทน แจ็ค บาวเออร์ (Kiefer Sutherland) เพราะจริงๆ แจ็คกะจะย้ายไปอยู่กับคิม (Elisha Cuthbert) ลูกสาวคนเดียว ที่จะว่าไปแล้วก็คือญาติคนเดียวที่ยังเหลืออยู่ (ไม่นับหลานและสามีของคิม)
แต่แล้วงานก็เดินมาเคาะประตูแจ็คถึงบ้านครับ อันทำให้แจ็คต้องกลับไปช่วย CTU อีกครั้ง เนื่องจากตอนนี้กำลังจะมีการเซ็นต์สนธิสัญญาสันติภาพระหว่างอเมริกา, รัสเซีย และสาธารณรัฐอิสลามแห่งคามิสถาน (เป็นประเทศที่แต่งขึ้นนะครับ) แต่ปัญหาคึอมีคนหมายจะลอบสังหารท่าน ปธน. โอมาร์ ฮัสซาน (Anil Kapoor) เพื่อยับยั้งสัญญาสันติภาพนี้
แจ็คเลยต้องเจอวันอันตรายส่งท้ายก่อนจะย้ายไปอยู่กับลูก… ว่าแต่เขาจะได้ไปอยู่กับลูกง่ายๆ งั้นหรือนี่?
ยอมรับครับว่าดู 24 ปีนี้ในช่วงต้นๆ ผมออกแนว “ดูไปบ่นไป” เพราะการเดินเรื่องก็ไม่เร็วนัก ซ้ำยังมีอุปสรรคหลายอย่างที่ออกแนวน่าหงุดหงิด ซึ่งอุปสรรคเหล่านั้นมักจะมาจากตัวบุคคล เช่น ไบรอัน เฮสท์ติ้ง (Mykelti Williamson) ผอ. CTU ที่ตัดสินใจผิดบ่อยมากไม่ว่าจะเพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือเพราะทิฐิส่วนตัว จนหลายครั้งส่งผลให้เกิดเรื่องตามมา แล้วในเวลาต่อมาก็จะมีปมของแต่ละบุคคลปรากฏขึ้นมาส่งผลให้เรื่องราวมันนุงนังมากขึ้น จนปฏิบัติการผิดพลาด มีคนต้องเสียชีวิตไปเรื่อยๆ
แต่พอดูจนจบแล้วถึงค่อยมาเข้าใจครับ ว่าธีมของหนังปีนี้ ก็คือ “ความผิดพลาดของมนุษย์ และผลที่ตามมา” นั่นเอง
ปีนี้เราจะได้พบกับความล้มเหลว ความผิดพลาด และความผิดหวังหลายประการ อันเนื่องมาจากการกระทำของตัวละครแต่ละคน
และยิ่งคนทำผิดมากขึ้นๆ เรื่องมันก็ยิ่งเลยเถิดจนทำให้บทสรุปของปีนี้เป็นผล “บานปลาย” มาจากความผิดพลาดเหล่านั้น
ในตอนสุดท้ายของปี อดตั้งคำถามไม่ได้ว่า “ถ้าแต่ละคนเปิดใจ มีสติ รับฟังกัน ช่วยกันอย่างไร้อัตตาและทิฐิ บทสรุปน่าจะออกมาดีกว่านี้”
แต่ปฏิเสธไม่ได้ครับว่าดูปีนี้แล้ว แม้มันอาจจะไม่มันส์ ไม่บันเทิง แต่ถือว่าปีนี้เป็น 24 ปีที่สมจริง ใกล้เคียงกับอะไรต่อมิอะไรในโลกมากจริงๆ
ไม่ว่า แจ็ค, เฮสท์ติ้ง, ปธน. ฮัสซาน, ปธน. อลิสัน เทเลอร์ (Cherry Jones) , โคลท์ ออทิส (Freddie Prinze, Jr.) เจ้าหน้าที่ภาคสนามของ CTU และคนอีกมากมาย ต่างเป็นเหตุเป็นผลซึ่งกันและกันต่อบทสรุปของเรื่องราว
สิ่งที่คนหนึ่งกระทำย่อมมีผลตอบสนอง ไม่ต่อตัวเขาก็ต่อผู้อื่นที่อยู่ใกล้ และยิ่งเรามีอำนาจ มีบทบาท และมีความสำคัญมากเท่าไร ความผิดพลาดของเราย่อมส่งผลกระทบเป็นวงกว้างมากเท่านั้น
นอกจาก “ความผิดพลาด” ที่ส่งผลเสียให้เราเห็นแล้ว เรายังได้เจอกับอีกหนึ่งเหตุที่นำไปสู่ผลร้าย นั่นคือ “เจตนาวางแผนร้ายเพื่อผลประโยชน์ตนเอง” อันหลังนี่นับว่าน่ากลัวไม่น้อยเช่นกัน
อุปสรรคส่วนใหญ่ในปีนี้เลยเกิดจาก “คน” ไม่ว่าจะเจตนาและไม่เจตนาทำในสิ่งที่ก่อให้เกิดผลร้าย แต่ท้ายที่สุดแล้ว ทำเช่นไรมันก็ลงเอยเช่นนั้น
ย้อนคิดไปถึงช่วงแรกที่ดูปีนี้ ตั้งคำถามว่าทำไมเราถึงหงุดหงิดยามเห็นปัญหาอะไรแบบนี้… คงเพราะเราเจอมันบ่อยและเห็นมันบ่อยในโลกแล้วกระมัง ^^
24 ปีนี้เป็นการทิ้งท้ายที่สวยนะครับ จริงที่มันอาจจะไม่ได้มันส์สุด แต่ก็มีความเข้มข้น จริงที่ไม่ได้มีหักมุมมากมาย แต่ก็มีจุดคาดไม่ถึง และที่ผมบอกว่าสวยก็คือความกล้าที่หนังเล่นกับหลายประเด็น และกล้าที่จะฉีกแนวหลังจากปีก่อนๆ ที่จะออกแนวหนังแอ็กชันที่มีความโม้ผสมบ้าง แต่ปีนี้หนังออกแนวสะท้อนความจริงบางอย่าง ทิ้งท้ายให้คนดูเก็บไปคิด
เมื่อสรุปรวมแล้ว ผมเลยชอบครับ ลงเอยด้วยความชอบสำหรับปีนี้ เพียงแต่อาจต้องอดทนระหว่างดูหน่อย แล้วจะว่าไปหนังก็มีอะไรสะใจๆ อยู่เหมือนกัน อย่างการได้เห็นแจ็ค “พิโรธ” ในที่สุด อันนี้อยากให้ลองดูกัน มันทั้งสะใจ ทั้งก่อให้เกิดคำถามหลายมุมถึงสิ่งที่เขาทำลงไป (จริงๆ หลายสิ่งในปีนี้น่าคิด น่าลองตั้งคำถามทั้งนั้นล่ะครับ)
แต่รู้ไหมครับ ผมชอบอะไรที่สุดในปีนี้… ผมชอบโคลอี้ โอ ไบรอัน (Mary Lynn Rajskub) ^^
ตั้งแต่นาทีแรกจนนาทีสุดท้าย บอกได้เลยครับว่าเธอคือคนที่มีสติที่สุด เรียกว่าถ้าหลายคนฟังเธอล่ะเรื่องมันคงไม่บานปลายขนาดนี้หรอก
โคลอี้ถือเป็นตัวละครที่มีพัฒนาการที่น่าสนใจมากๆ ของ 24 จากยัยจอมจุ้นหน้ามุ่ยที่ออกแนวจับผิดและบางทีก็ขี้กลัว มาถึงตอนนี้เธอกลายเป็นคนช่างสงสัยที่ตั้งคำถามอย่างมีสติ อีกทั้งยังกล้าพูด กล้าทำ กล้ายืนหยัดในสิ่งที่เธอเชื่อ ไหนจะฝีมือด้านคอมพิวเตอร์ที่เซียนแล้วเซียนอีก
เชื่อไหมครับ ตลอดเรื่องผมลุ้นว่าแจ็คจะไหวไหม ลุ้นว่า เรเน่ วอล์คเกอร์ (Annie Wersching) อดีตเอฟบีไอสาวที่กลับมาเพื่อช่วยแจ็ค ลุ้นว่าเธอจะรอดไหม, ลุ้นว่า ปธน. ฮัสซานจะตายไหม ลุ้นกระทั่งว่าเฮสท์ติ้งจะดวงกุด โดนเหตุให้มีอันเป็นไปหรือเปล่า ฯลฯ
แต่ผมไม่ห่วงโคลอี้เลย เพราะรู้ดีว่าแม่คนนี้เก่งสุดเฮงสุดแล้วในซีรี่ส์นี้ ^^
ชอบครับ ชอบจริง แล้วสิ่งที่ชอบมากสุดคือ “บทสรุปของปี” ที่ผมจะขอพล่ามถึงความประทับใจในส่วนของสปอยล์ครับ
สรุปล่ะนะครับ… ปีนี้ผมชอบครับ มันเข้ม มันหนัก มันสะท้อน มันสมจริง
สามดาวครับ
(8/10)
ถัดจากนี้จะสปอยล์ล่ะนะครับ ไม่อยากทราบไม่ควรอ่านครับ
** สิ่งที่ผมเขียนนี้มีสปอยล์ตอนจบของซีรี่ส์ 24 หากท่านใดไม่อยากทราบ โปรดหยุดอ่านทันทีเมื่อเห็นข้อความ “เข้าเขตสปอยล์”
ผมเพิ่งดู 24 ปี 8 จบเมื่อวาน
และในฉากสุดท้ายนั้น
ทำผมบ่อน้ำตาแตก…
… “เข้าเขตสปอยล์” ^^
นึกไม่ถึงว่าจะมาน้ำตาร่วงกลางร้านหนังสือ+กาแฟของตัวเอง เพราะที่ผ่านมาไม่เคยมีประวัติว่าดูตอนจบของซีรี่ส์ไหนแล้วร้องไห้ ไม่ว่า Buffy, Angel, Friends, The X-Files หรือแม้แต่บทอำลาของพี่กริสซั่มใน CSI ก็ยังไม่รู้สึกรู้สา
แต่พอนาทีสุดท้ายของซีรี่ส์ 24 มาถึง เมื่อได้ยินประโยคสุดท้ายที่แจ็คพูดกับโคลอี้… น้ำตาพรากแบบกลั้นไม่อยู่ ชนิดไม่อายลูกค้าในร้านและภรรยาของผม
ระหว่างน้ำตาไหล ในใจพร่ำพูดอยู่สองคำ คือ “มันโดน มันโดน!”
นาทีสุดท้ายของ 24 นั้น คือ 1 นาทีที่ทำให้ผมเกิดอารมณ์และความรู้สึกพรั่งพรูอย่างไม่น่าเชื่อ
นาทีนั้นสมองเห็นภาพตัวละครทั้งหลาย เรื่องราวทั้งหมดตั้งแต่ปี 1 จนถึงวินาทีนั้น
จากนั้นสมองของผมก็โฟกัสไปที่โคลอี้
ปีแรกที่เธอเข้ามา (ซึ่งก็คือปี 3) ผมออกจะรำคาญเธอนิดๆ เพราะเธอออกแนวจุ้นจ้าน ตัวป่วน เจ้ากี้เจ้าการ ฯลฯ
แต่แปลกที่แม้จะหงุดหงิดกับพฤติกรรมเธอแค่ไหน… ทว่าดันโกรธแม่สาวหน้ามุ่ยคนนี้ไม่ลง
ปีต่อมาเธอก็ยังจุ้นจ้าน สอดรู้ ป่วน แต่ด้านน่ารักน่าขำของเธอก็ค่อยๆ เติมเข้ามาในความรู้สึก รวมถึงฝีมือด้านคอมพิวเตอร์ที่เก่งจนหาตัวจับยากก็ทำให้ยอมรับเธอมากขึ้น
ในปี 5 ทำเอาใจแทบวาย ลุ้นว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเธอไหม… นี่เราเกิดเป็นห่วงแม่จอมจุ้นคนนี้ขึ้นมาเมื่อไร… ไม่รู้เลย
ปี 6 – ปี 7 เราสนิทใจมากขึ้น ว่าเธอผู้นี้มีส่วนช่วยแจ็คได้ หลายรอบพี่แจ็ครอดอันตรายก็ด้วยปลายนิ้วและคิ้วขมวดของเธอนี่แหละ
พอถึงปี 8 รู้สึกตั้งแต่ตอนแรกว่าโคลอี้คนนี้มีสติสูงสุด เรียกว่าเหตุการณ์ที่ผ่านมาหลายปีนั้นได้หล่อมหลอมตัวเธอ จนเราเห็นพัฒนาการแบบชัดมากๆ ในปีสุดท้าย
มีอยู่แว่บหนึ่งคิดว่า “โคลอี้เหมาะจะเป็น ผอ. CTU มากๆ”… แล้วเจ๊แกดันได้เป็นจริงๆ
พอสำรวจความรู้สึกตัวเองระหว่างดู ในใจก็บอกว่า “ถ้าไม่มีผู้หญิงตัวป้อมแก้มยุ้ยชื่อ โคลอี้ โอไบรอัน… พี่แจ็คคงได้ไปเจอยมบาล ประมาณ 24 รอบได้””
และเมื่อทุกอย่างดำเนินถึงจุดจบ เมื่อแจ็คเอ่ยประโยคสุดท้าย
“โคลอี้… (ผมเริ่มนิ่ง)
… ครั้งแรกที่คุณเข้ามายัง CTU (ตาเริ่มแฉะเล็กๆ)
… ผมไม่เคยนึกว่าจะเป็น “คุณ” ที่คอยปกป้องช่วยเหลือผมตลอดอีกหลายปีต่อมา (เขื่อนรอบตาแตกซ่าน)
… และผมรู้ว่าทุกสิ่งที่คุณทำในวันนี้ คุณทำเพื่อปกป้องผม ผมรู้ดี” (ไหลพรากเป็นทาง)
แจ็คหันขึ้นมามองกล้องที่ส่งภาพตรงไปยัง CTU ที่ซึ่งโคลอี้กำลังมองอยู่ เขาสบตาเธอทั้งที่มองไม่เห็นเธอ… (หยุดน้ำตาไม่ได้)
“ขอบคุณมาก” (ไม่อายใครแล้ว 😭)
… ในนาทีแรกที่ผมหยิบแผ่น 24 แผ่นแรกมาจากร้านเช่า…
… ผมไม่เคยนึกมาก่อนว่า เมื่อนาทีสุดท้ายของซีรี่ส์มาถึง มันจะเรียกน้ำตาจากผมได้
… ยินดีสุดบรรยาย ที่วันนั้นผมหยิบ VCD แผ่นนั้นขึ้นมา
… So Long… Jack + Chloe & 24
Nice to See You ^^