ระหว่างดูหนังเรื่องนี้ผมจะนึกถึง Phone Booth เป็นระยะๆ ครับ อาจเพราะทั้งเรื่องนั้นและเรื่องนี้กำกับโดย Joel Schumacher ลีลาบางประการเลยมีความคล้ายคลึงกัน และโทนเรื่องก็ว่าด้วยคนที่ต้องกลายเป็นตัวประกันในพื้นที่จำกัดเหมือนกันด้วย
Nicolas Cage และ Nicole Kidman รับบทไคล์และซาร่าห์ คู่สามีภรรยาที่อยู่ในบ้านหลังโต โดยไคล์นั้นมีอาชีพเป็นนักค้าเพชรครับ แต่แล้วจู่ๆ เขาก็โดนโจรกลุ่มหนึ่งบุกเข้ามาในบ้านและข่มขู่ให้พวกเขาเปิดเซฟที่เก็บเงินและเพชรออกมา ไม่เช่นนั้นก็จะฆ่าเสียให้ตายทั้งครอบครัว
พล็อตหลักๆ ก็ประมาณนี้ล่ะครับ ออกแนว Panic Room โดยไคล์ก็ต้องใช้สมองหาทางหว่านล้อมและถ่วงเวลาโจรให้นานที่สุด เพราะเขาตระหนักว่าถ้าโจรได้ของไปเมื่อไรก็คงฆ่าพวกเขาในทันทีแน่นอน ซึ่งจริงๆ แล้วพล็อตแบบนี้มันควรจะสนุกว่าไหมครับ… ส่วนผลลัพธ์ที่ได้นั้น ก็คงต้องบอกว่าหนังยังไม่เวิร์กเท่าที่ควร
โอเค เรามาเริ่มกันที่ดาราครับ ดาราที่คัดมาเล่นได้ดี ไม่ว่าจะ Cage, Kidman, Ben Mendelsohn ในบทเอเลียส ผู้นำของกลุ่มโจร, Liana Liberato ในบทเอเวอร์รี่ ลูกสาวของไคล์และซาร่าห์ และ Cam Gigandet เป็นโจน่าห์ น้องชายของเอเลียส ผมว่าทุกคนมีฝีมือนะ และจริงๆ ต้องบอกว่าพวกเขาเล่นดีแบบทุ่มเทเต็มที่ แต่ทีนี้ปัญหาอย่างหนึ่งก็คือบางทีพวกเขาก็เล่นใหญ่เล่นล้นจนดูโฉ่งฉ่าง ซึ่งจุดนี้ผมไม่แน่ใจว่าเป็นที่เหล่าดาราเล่นใหญ่กันเอง หรือผู้กำกับคุมโทนให้มันใหญ่ แต่ไม่ว่าจะเพราะอะไรก็ตาม เจ้าความโฉ่งฉ่างที่ดูล้นเกินในหลายๆ วาระทำให้หนังดูล้นน่ะครับ ดูวุ่นวายโหวกเหวกมาก
ซึ่งก็พอจะเข้าใจน่ะครับว่าหากเป็นเหตุการณ์จริงมันก็อาจจะโหวกเหวกกันขนาดที่เห็นในหนังก็ได้ แต่พอออกมาเป็นหนังแล้วพอเจอความโฉ่งฉ่างมากๆ เข้าเลยนำมาสู่ 2 อารมณ์ อารมณ์แรกคือหงุดหงิดรำคาญ (เหมือนเวลาเราเห็นคนทะเลาะกันแบบเล่มใหญ่เป็นเวลานานๆ เราเองก็อาจรู้สึกไม่สบายใจที่จะดูภาพนั้นต่อไป – อยากออกไปจากตรงนั้นน่ะครับ ว่างั้นเถอะ)
กับอีกอารมณ์หนึ่งคือ อารมณ์นิ่ง ประมาณว่าดูไปสักพักแล้วเราก็จะไม่ตื่นเต้นไปกับหนัง เพราะหนังเลือกที่จะเล่นหนักเล่นใหญ่โฉ่งฉ่างวุ่นวายไปตั้งแต่ครึ่งแรกแล้วน่ะครับ เหมือนหนังพาเราไปถึงยอดของความวุ่นวายแล้ว (ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม) เราก็ตื่นเต้นไปแล้วตั้งแต่ครึ่งแรก ดังนั้นทำให้ช่วงครึ่งหลังเราก็อาจจะไม่รู้สึกว่าหนังมีการไต่ระดับความระทึกหรือตื่นเต้น แม้ดีกรีความตื่นเต้นของหนังจะไม่น้อยลงเลยก็ตาม แต่กราฟอารมณ์ตื่นเต้นของเรามันดันดิ่งลง (อาจเพราะเหนื่อยที่ตื่นเต้นแบบล้นๆ มาตั้งแต่ครึ่งแรก) หรือไม่ก็จะคงที่น่ะครับ ประมาณว่าเฉยๆ ไปแล้ว
มันทำให้ผมนึกถึง The Dark Knight นะ จริงๆ หนังเรื่องนั้นก็เดินเรื่องแบบมาคุๆ เข้มๆ เครียดๆ ตื่นเต้นๆ ตลอดตั้งแต่ต้นจนจบ แต่ที่เราไม่รู้สึกเบื่อหรือรู้สึกว่ากราฟอารมณ์ดิ่ง (เพราะล้า) ก็เพราะดีกรีความเข้มความเครียดและความตื่นเต้นในหนังมันอยู่ในระดับที่พอเหมาะ ถ้าเปรียบก็คงเหมือนเวลาเราตุ๋นเนื้ออะไรสักอย่างน่ะครับ มันต้องใช้อุณหภูมิที่เหมาะสมตุ๋นไปเรื่อยๆ ให้เนื้อมันเปื่อยมันนิ่มแบบพอดีๆ แต่ถ้าต้มแบบเดือดพล่านไปนานๆ แบบต่อเนื่อง ปล่อยให้เดือดจนล้น น้ำก็จะทะลักออกมาเลอะเทอะรอบเตา เนื้อที่ออกมาก็มีสิทธิ์เละแหลกได้
นั่นก็น่าจะบรรยายถึงสิ่งที่ผมรู้สึกต่อหนังเรื่องนี้ได้ชัดเจนที่สุดล่ะครับ คือองค์ประกอบมันดีนะ โครงเรื่องก็โอเค หรือพวกฉากต่างๆ กับโทนสีในเรื่องก็ถือว่าดีหมด แต่เพราะความล้นของตัวละครที่เกิดนี่แหละครับที่ทำให้ความกลมกล่อมที่หนังพึงมีพลอยลดปริมาณลงไป อารมณ์เหมือนเราดูคลิปที่มีคนทำออกมาล้อพี่ Cage น่ะครับ ที่เขาจะเอาฉากที่พี่ Cage ทำท่าคลั่งๆ ตาโตๆ มาร้อยเรียงต่อกัน อารมณ์ในหนังที่ผมว่าโฉ่งฉ่างนั้นก็ประมาณนั้นน่ะ เหมือนตัวละครเล่นงิ้วใส่เต็มที่กันไปข้างหนึ่งเลย
เชื่อว่าจะต้องมีึคนชอบหนังเรื่องนี้ครับ ส่วนผมนี่ไม่ถึงกับไม่ชอบนะครับ เพียงแต่รู้สึกกลางๆ เพราะมันก็มีจุดที่ชอบและจุดที่รู้สึกล้นผสมปนเปกัน แต่ผมก็ไม่รู้สึกว่าเสียเวลาในการดูหนังเรื่องนี้นะครับ มันก็โอเคอยู่ ถ้ามองโดยรวมๆ มันก็โอเคอยู่ หรือจะเป็นเพราะผมได้ยินกิตติศัพท์ในแง่ลบของหนังเรื่องนี้มาเยอะจนความคาดหวังไม่มีก็ไม่รู้ เลยดูหนังได้โอเคขึ้น
และนี่ก็เป็นผลงานโรงใหญ่ชิ้นสุดท้ายของผู้กำกับ Joel Schumacher ครับ ถ้ามองในแง่ความสำเร็จแล้ว ก็คงต้องบอกว่าหนังไม่ประสบความสำเร็จเลยไม่ว่าจะด้านไหน รายได้นั้นทำเงินไปประมาณ $10 ล้านเหรียญจากทั่วโลก ในขณะที่ทุนสร้างนั้นลงไป $35 ล้านเหรียญครับ และหนังยังทำสถิติ (ที่อาจจะไม่ค่อยดีนัก) เป็นหนังที่ถูกส่งตรงจากโรงลงวีดีโอเร็วที่สุดในตอนนั้น ประมาณว่าปกติพอหนังฉายโรงแล้วเราๆ ท่านๆ มักจะต้องรอเป็นเดือนๆ กว่าที่หนังจะลงม้วนหรือลงแผ่นให้เราเช่าไปดูหรือซื้อเก็บกัน ยิ่งเรื่องำไหนดังก็มักต้องรอนาน
แต่เรื่องนี้ทำสถิติใช้เวลาแค่ 18 วันเท่านั้นครับ ส่วนหนึ่งก็เพราะหนังเข้าโรงในอเมริกาแล้วทำเงินไปแค่ $24,094 เหรียญ ผู้สร้างเลยรีบถอดออกจากโรงและนำมาปล่อยเป็นวีดีโอออนดีมานด์แทน
แต่โดยส่วนตัวแล้ว หนังก็ไม่ได้เลวร้ายถึงขนาดนั้นครับ อย่างน้อยถ้าชอบดาราก็น่าจะโอเคกับหนังบ้าง
สองดาวเชิงลบครับ
(6/10)
หมวดหมู่:รีวิวหนัง/ภาพยนตร์, Crime, Drama, Thrillers