วันก่อนพูดถึงหนังภาคต่อของวิ่งสู้ฟัดที่ไม่ได้ใช้ชื่อไทยว่าวิ่งสู้ฟัดไปแล้ว มาวันนี้ก็จะขอพูดถึงหนังที่ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับวิ่งสู้ฟัด แต่ได้ใช้ชื่อไทยว่าวิ่งสู้ฟัดนะครับ
ใช่ครับ เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับวิ่งสู้ฟัดเลย แม้ตัวหนังจะกล่าวถึงภารกิจเสี่ยงตายของตำรวจนายหนึ่งก็ตาม แต่โทนของหนังจะออกแนวจริงจังและมีอารมณ์ขันน้อยกว่าหนังชุดวิ่งสู้ฟัด ตัวเอกของเรื่องคือผู้กองเฉิน (เฉินหลง) ที่มีภารกิจต้องคอยคุ้มครองความปลอดภัยให้กับนักธุรกิจผู่มั่งคั่งอย่างหวังอี้เฟย (Kar-Ying Law)
แล้วอยู่มาวันหนึ่งหวังอี้เฟยก็โดนลักพาตัวเรียกค่าไถ่จริงๆ ครับ และผู้ที่อยู่เบื้องหลังก็คือผู้กองหง (เจิ้งจั๊ดซือ) ที่หมายจะรวยทางลัด งานนี้ผู้กองเฉินเลยต้องพยายามสืบหาร่องรอยเพื่อช่วยหวังอี้เฟยกลับมา พร้อมทั้งจับตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษให้ได้
แรกเริ่มเดิมทีหนังเรื่องนี้จะนำแสดงโดย หลี่เหลียนเจี๋ย หรือ Jet Li ครับ อันที่จริงคือมีการเตรียมงานสร้างไปพอสมควรแล้ว แต่ทีนี้ในช่วงเวลานั้น Jim Choy ผู้จัดการของ Jet Li ก็ถูกยิงโดยพวกมาเฟีย เหตุการณ์นั้นสร้างความไม่สบายใจให้กับ Jet Li อย่างมาก จนเขาขอถอนตัวออกจากหนังเรื่องนี้เพราะรู้สึกไม่สะดวกใจที่จะเล่นหนังแนวอาชญากรรม และหันไปรับบทนำใน มังกรไทเก๊ก คนไม่ยอมคน (Tai Chi Master) แทน
แล้วเฮียเฉินก็เดินเข้ามารับบทครับ และผลลัพธ์ที่ได้ ต้องบอกว่าน่าพอใจอย่างมากทีเดียว โอเค ช่วงต้นๆ หนังอาจจะดูอึนๆ หน่อยครับ เพราะโทนมันยังไม่เข้าที ไม่ว่าจะการที่หนังเน้นไปที่ตัวร้ายอย่างผู้กองหงมากกว่าในตอนแรกๆ จนโทนหนังมันดูหนักๆ เครียดๆ และพอบทผู้กองเฉินของเฮียเฉินโผล่เข้ามา โทนก็ยังดูหนักๆ อยู่หน่อยๆ ซึ่งเราก็อาจไม่คุ้นนักสำหรับความเป็นหนังเฉินหลงน่ะนะครับ แต่ไม่เป็นไรครับ รอไปสักพัก แล้วหนังจะเริ่มเข้าที่
ผมนั้นเริ่มจะเครื่องติดตอนผู้กองเฉินไปไต้หวันน่ะครับ ช่วงนั้นคิวบู๊แบบเสี่ยงตายและทลายข้าวของสไตล์เฮียเฉินเริ่มมาเรื่อยๆ และทำออกมาได้ดี ดูสนุกดูเพลินมาก พร้อมกับปมที่เริ่มขมวดเมื่อผู้กองเฉินเริ่มสงสัยอะไรหลายๆ อย่างในคดีนี้ แล้วจากนั้นหนังก็สนุกยาวล่ะครับ เพราะนอกจากฉากบู๊+ฉากเสี่ยงตายจะไหลมาเรื่อยๆ แล้ว การขับเคี่ยวระหว่างผู้กองเฉินกับผู้กองหงก็เริ่มจะออกรสขึ้นตามลำดับ
คิวบู๊ตอนไคลแม็กซ์ก็ถือว่าน่าจดจำทีเดียวครับ ถือว่าบู๊มันส์แบบต่อเนื่องตามสไตล์เฮียเฉิน เพียงแต่หนังเรื่องนี้จะไม่ค่อยมีอารมณ์ขันครับ อย่างที่บอกว่ามันออกแนวจริงจังและสู้กันถึงตาย ดังนั้นถ้าใครคุ้นกับหนังเฮียเฉินสไตล์เบาๆ ก็อาจต้องปรับใจกันสักหน่อย เพื่อที่จะได้ดูหนังได้อร่อยขึ้น
ถือว่าหนังเข้าท่าและควรค่าแก่การชมครับ ยอมรับว่าตอนแรกผมก็ไม่คาดหวังเหมือนกันเพราะเห็นมีหลายคนบ่นว่าหนังไม่สนุก แต่พอดูก็เข้าใจล่ะครับว่าหากท่านคาดหวังความเป็น “วิ่งสู้ฟัด” ในหนังเรื่องนี้ล่ะก็ ตัวหนังมันจะไม่ใช่แบบนั้นสักเท่าไร แต่มันเป็นหนังบู๊ตำรวจที่สะท้อนด้านมืดในสังคม ไม่ว่าจะเรื่องการที่ผู้รักษากฏหมายกลายเป็นผู้ทำผิดเสียเอง หรือการที่ตำรวจดีๆ ต้องมาเจอวิบากกรรมในการทำงานอยุ่บ่อยๆ เอาแค่จะโทรไปขอความช่วยเหลือจากเบื้องบนก็ต้องมานั่งบอกเลขรหัสโน่นนี่ คือคนมันจะตายอยู่แล้วน่ะครับ เลขเลิกอะไรก็นึกไม่ออกหรอก และสุดท้ายก็ไม่มีใครช่วยตนเองได้นอกจากตนเองนั่นแล
ตัวหนังจัดว่าเวิร์กครับ ดูสนุกแบบหนักๆ สักหน่อย สำหรับผู้กำกับหนังเรื่องนี้นั้น คนที่รับหน้าที่คือ Kirk Wong ที่ในเวลาต่อมาได้ไปทำ The Big Hit ในอเมริกา (ที่ Mark Wahlberg นำแสดงน่ะครับ) แต่กระนั้นก็มีเบื้องลึกเบื้องหลังในการถ่ายทำอยู่นิดหนึ่ง คือมีข่าวออกมาว่าความสัมพันธ์ของ Kirk Wong และ เฮียเฉินหลง นั้นไม่ใคร่จะดีสักเท่าไร ซึ่ง Wong ก็ยอมรับว่าจริงครับ เพราะความเห็นของพวกเขามันไม่ตรงกัน ถึงขนาดว่าเฮียเฉินแกลงมือเอาหนังไปตัดต่อเองโดยไม่ได้รับความยินยอมจาก Wong
และผลลัพธ์ของเรื่องก็คือ Wong กับเฮียเฉินก็ไม่ได้พูดกันอีกเลยหลังการฉายรอบปฐมทัศน์
และนั่นก็อาจจะเป็นสิ่งที่ช่วยอธิบายว่าทำไมครึ่งหลังของหนังถึงเน้นไปที่ฉากบู๊ของเฮียเฉินเสียเยอะ ในขณะที่ครึ่งแรกดูจะหนักไปที่เนื้อเรื่องมากกว่า
แต่กระนั้น ผมก็ว่าหนังออกมาโอเคครับ อาจไม่ได้สุดยอดนะ แต่ถือว่าเป็นหนังเฮียเฉินสายเข้มที่น่าจดจำ โดยเฉพาะคิวบู๊เสี่ยงตายทั้งหลายที่แฟนหนังเฮียเฉินน่าจะพอใจ หรือถ้าจะดูหนังแบบรวมๆ ทั้งเรื่องแล้ว ก็ยังถือว่าโอเคครับ มีทั้งดราม่าและแอ็กชัน แม้การผสมกันอาจจะไม่ลงตัวไปเสียทั้งหมด แต่โดยรวมก็ยังนับว่าดูสนุกในระดับหนึ่ง และอยากจะบอกว่าชอบการแสดงของ เจิ้งจั๊ดซือ ในเรื่องนี้มาก เขาเล่นเป็นตัวโกงได้สมบทบาททีเดียว
สองดาวครึ่งครับ
(7/10)