Action

ยิปมัน 4 (2019) Ip Man 4: The Finale

Untitiled05618

ปิดตำนานอย่างเป็นทางการแล้วครับสำหรับ Ip Man เวอร์ชั่น Donnie Yen หนังจบแบบจบแน่นอน แต่ก็เป็นไปได้ครับว่าในอนาคตเดี๋ยวก็คงมีคนเอาเรื่องอาจารย์ยิปมาทำใหม่อีกแหงๆ แต่ไว้ถึงวันนั้นแล้วเราค่อยมาว่ากันอีกทีครับ

ภาคนี้เปิดมาก็บอกให้เรารู้เลยครับว่าอาจารย์ยิปเป็นมะเร็ง และอาจจะอยู่ได้อีกไม่นาน เขาเลยพยายามจะเคลียร์ห่วงสุดท้ายในชีวิต นั่นคืออยากให้ลูกชายได้เรียนในที่ดีๆ ครับ เขาเลยข้ามน้ำข้ามทะเลมายังอเมริกา ด้วยความหวังว่าจะส่งลูกมาเรียนที่นี่ เพื่ออนาคตที่ดีและโอกาสที่งดงามกว่า

แต่เมื่อเขามาถึง ก็ต้องเจอกับมรสุมหลายกระแส ไม่ว่าจะแรงต้านที่เกิดจากการที่ บรูซ ลี (Danny Kwok-Kwan Chan) ลูกศิษย์ของเขาพยายามจะเผยแพร่ศิลปะการป้องกันตัวของจีนให้คนต่างชาติ นั่นทำให้หัวหน้าสมาคมชาวจีนในอเมริกาอย่าง ว่านจงหัว (Yue Wu) รู้สึกไม่พอใจ และพลอยไม่ถูกชะตากับยิปมันไปด้วย ซึ่งมันก็ย่อมส่งผลต่อการที่เขาจะส่งลูกมาเรียนต่อที่นี่อย่างมาก

อีกกระแสหนึ่งก็คือกระแสการเหยียดผิวเหยียดเชื้อชาติของคนอเมริกันบางกลุ่มครับ โดยเฉพาะนายทหารที่ชื่อว่า บาร์ตัน (Scott Adkins) ที่ดูถูกชาวจีนอย่างมหาศาล อันทำให้ยิปมันต้องเผชิญกับศึกครั้งใหม่อย่างมิอาจเลี่ยงได้

ว่าตามจริงภาคนี้ตั้งหลักมาดีนะครับ โครงเรื่องถือว่าเวิร์กเลย ประเด็นหลักคืออาจารย์ยิปอาจอยู่ได้ไม่นาน เลยพยายามจะทำให้ตัวเองหมดห่วง จากนั้นก็ตามด้วยพล็อตความขัดแย้งระหว่างอาจารย์ยิปกับคนจีนด้วยกันเอง, ปมระหว่างบรูซ ลีกับสมาคนชาวจีน, บวกด้วยความขัดแย้งระหว่างคนจีนกับชาวต่างชาติ เรียกว่าเปิดประเด็นมาได้พอเหมาะครับ ถ้าลองว่าสามารถเล่นกับประเด็นเหล่านี้ได้แบบทั่วถึงล่ะก็ หนังจะเป็นอะไรที่ยอดมาก

แล้วผลลัพธ์เป็นอย่างไร? ก็ถือว่าโอเคในระดับหนึ่งครับ แต่ละประเด็นที่ผมเอ่ยไปก็ถูกสานต่อในระดับหนึ่ง เพียงแต่ว่ามันยังไม่สุดน่ะครับ ประเด็นแรกเลยที่ถูกพูดถึงตอนต้นๆ แล้วก็เงียบไปคือเรื่องของบรูซ ลี ที่มีบทบาทตอนต้นๆ เท่านั้น ถ้าพูดแบบตรงๆ หน่อยก็เหมือนปมนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อเพิ่มงานให้อาจารย์ยิปน่ะครับ ก็กลายเป็นว่าอาจารย์ยิปต้องแบกปมนี้คนเดียวนี้ ในขณะที่เฮียบรูซ ลี ไม่ได้มาร่วมด้วยช่วยกันกับอาจารย์ยิปเลย อันนี้ก็ยอมรับครับว่าแอบรู้สึกโหวงๆ เหมือนกัน เพราะอุตส่าห์เปิดปมมาขนาดนี้แล้ว ถ้าได้เห็นบรูซ ลีร่วมสู้กับอาจารย์ยิป มันคงน่าจดจำไม่น้อย

Untitiled05619

ส่วนปมที่อาจารย์ยิปต้องรับมือกับทั้งชาวจีนด้วยกันและชาวต่างชาตินั้นก็เดินเรื่องไปพร้อมๆ กันครับ ปมเหล่านี้ก็เล่าได้โอเคในระดับหนึ่ง เพียงแต่ว่ามันจะยังไม่สุดยังไม่พีคเท่าใดนัก… ก็เปรียบได้กับเวลาเราเล่นเกมแบบที่จบได้หลายแบบน่ะครับ มันจะมี Best Ending (จบแบบสมบูรณ์) กับ Bad Ending ซึ่งกับหนังเรื่องนี้แล้ว ก็ถือว่าจบแบบค่อนข้างดีน่ะครับ เพียงแต่ถ้าผลัก ถ้าดัน ถ้าปรุง ถ้าลงรายละเอียดบางอย่างเพิ่มอีกนิดมันก็จะสุดยอดมากแน่ๆ เพราะนี่เป็นศึกสุดท้ายและถือเป็นศึกที่อาจารย์ยิปต้องเจอกับฝ่ายตรงข้ามรอบด้าน การแก้ไขปัญหาจริงๆ สามารถทำให้มันออกมาลุ้นหรือไม่ก็ลึกซึ้งได้มากกว่าที่เป็น

แต่สิ่งหนึ่งที่รู้สึกเลยคือหนังทำออกมาแบบเจตนาวิพากษ์วิจารณ์อเมริกาครับ (จริงๆ ใช้คำว่า “ด่า” เลยก็ยังด้) ภาพฝรั่งในเรื่องนี่ดูแย่มาก ทั้งเหยียดผิว เหยียดเชื้อชาติ เข้าข้างพวกพ้อง ไม่มองเหตุผล เอาดีเข้าตัวเอาชั่วให้คนอื่น หรืออย่างฉากในโรงเรียนก็ยังอุตส่าห์มีครูใหญ่ที่พร้อมจะรับเงินแป๊ะเจี๊ยะมากกว่าจะมองกันที่ผลการเรียนของเด็ก คือถ้ามองแค่ภาพอเมริกาเท่าที่เห็นในหนังนี่คงต้องบอกว่าไม่น่าแวะไปเลยครับ (555)

และพฤติกรรมหนึ่งที่ตัวละครจีนในหนังชอบย้ำก็คือ พวกอเมริกาชอบเอาของคนอื่นไปโมเมเป็นของตัวเอง อย่างผืนแผ่นดินอเมริกานี่จริงๆ ดั้งเดิมก็เป็นดินแดนของพวกอินเดียนแดง ไม่ใช่พวกฝรั่งหัวทองสักหน่อย หรือ “คาราเต้” ที่พวกอเมริกันยกย่องหนักหนา จริงๆ มาจากญี่ปุ่นครับ แต่พวกมะกันในเรื่องดันพร่ำพูดเหมือนกันตนเองคิดค้นขึ้นมา คือยอมรับเลยครับว่าตลอดเรื่องนี่อเมริกาหาดีไม่เจอเลยจริงๆ น่าหมั่นไส้เหลือแสน

ถ้าคิดให้ลึกสักหน่อยก็อดรู้สึกไม่ได้ครับว่า การเขียนบทในเรื่องนี้ก็ออกจะมองอเมริกาในแง่ร้ายค่อนข้างมาก (ซึ่งจะต่างจากในหนังหวงเฟยหงภาคแรก ที่มองค่อนข้างกลางกว่า ว่าฝรั่งก็มีทั้งที่ดีและไม่ดี)

ในแง่ของคิวบู๊ก็ถือว่าน่าพอใจครับ ส่วนตัวรู้สึกว่าโอเคกว่าภาค 3 นิดหนึ่ง แต่ยังไม่เด็ดเท่ากับ 2 ภาคแรก (ภาคนี้ หยวนหวู่ปิง มาทำคิวบู๊ให้เหมือนภาค 3) คู่ที่ถือว่าดูแล้วมันส์กำลังดีต้องยกให้ยิปมันกับว่านจงหัวครับ ลีลาพลิ้วไหวตื่นตาดีจริงๆ และอีกคู่ก็ตอนปะทะกับบาร์ตัน ก็ถือว่าดุดันไม่เลว (แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าถ้าให้ หงจินเป่า มาทำคิวบู๊ให้แบบ 2 ภาคแรก มันอาจจะมีอะไรมากขึ้นก็ได้)

ครับ โดยรวมแล้วก็ถือว่าเป็นการปิดตำนาน Ip Man ที่โอเค แม้จะไม่ถึงขั้นสมบูรณ์แบบ แต่ก็ถือว่าไม่เลว ถือว่ายังได้มาตรฐานสำหรับหนังจีน-ฮ่องกงที่ดีและคุ้มค่าแก่การดู

Untitiled05622

สาระดีๆ ที่ Ip Man ภาคนี้ทิ้งไว้ให้ มีหลายอย่างครับ อย่างแรกคือ จงใช้เวลาอย่างคุ้มค่า เพราะเราไม่อาจรู้ได้ว่าบทสุดท้ายของชีวิตเรานั้นจะมาช้าหรือเร็ว จะมาวันนี้หรือวันพรุ่ง

อย่างที่ 2 คือ คนชาติเดียวกัน อย่าบาดหมางถางถากต่อกันเลย หนักนิดเบาหน่อยก็ค่อยอภัยกัน หาทางปรับความเข้าใจให้อยู่ด้วยกันได้อย่างสงบสุข พวกเกียรติศักดิ์ศรีหรืออะไรก็ตามที่ถือแล้วมันหนัก ก็เรียนรู้ที่จะวางเสียบ้าง อย่าถือแล้วขว้างใส่กัน เพราะสุดท้ายก็จะมีแต่เสียกับเสีย

อย่างที่ 3 คือ คนเราแม้จะต่างชาติต่างภาษา แต่ก็สามารถอยู่ร่วมกันได้หากเปิดใจรับซึ่งกันและกัน กระทำการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน แน่นอนว่าทั้งเราและเขาต่างก็ต้องมีจุดเด่นและจุดด้อยแตกต่างกันไป คงไม่มีชาติไหนที่สุดยอดไร้เทียมทาน และไม่มีชาติใดที่มีแต่สิ่งลบๆ แต่เพียงอย่างเดียว

อย่างที่ 4 คือ คนรุ่นเก่ากับคนรุ่นใหม่นั้น มีประสบการณ์ที่แตกต่างกัน ส่วนหนึ่งก็เพราะสภาพแวดล้อมในชีวิต ณ ขณะนั้นๆ ของแต่ละรุ่นมันย่อมมีรายละเอียดที่ต่างกัน ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่มุมมองของคนทั้ง 2 รุ่นจะมีจุดที่แตกต่าง หรือมีจุดที่ขัดแย้งต่อกัน ซึ่งสิ่งที่พอจะทำได้ (และควรจะทำด้วย) คือการปรับนั่นเองครับ อย่างบางทีเด็กรุ่นใหม่อาจหุนหันหัวร้อน ทำอะไรลงไปโดยไม่นึกถึงผลที่จะตามมา อันนี้ก็ต้องปรับโดยการฝึกฝนเรียนรู้ที่จะมองอะไรให้รอบด้านมากขึ้น มองการณ์ให้ไกลมากขึ้น

หรือตัวผู้ใหญ่เองบางทีก็ยึดติดจนกลายเป็นการล่ามตัวเองไว้กับที่ แบบนี้ก็ควรต้องหันไปมองซ้ายมองขวาดูว่าโลกเปลี่ยนแปลงไปแล้วถึงเพียงไหน อันใดที่ดีก็ดำรงคงเอาไว้ แต่หากอันไหนที่ยืดหยุ่นลดทอนพิธีรีตรองลงได้ ก็อาจต้องลองปรับลดมันดู เพื่อไม่ให้ “สิ่งที่เรายึด กลายเป็น สิ่งที่ยึดเรา”

อย่างที่ 5 คือ คนเรานั้นโตขึ้นแก่ขึ้นทุกขณะ แต่ใช่ว่าทุกคนจะเติบโต Growing มีพัฒนาการหรือวุฒิภาวะตามอายุเสมอไป การที่เราจะเติบโตขึ้นอย่างมีวุฒิภาวะได้นั้น เราต้องรู้จักเรียนรู้จากบทเรียนชีวิต เรียนรู้ทั้งจากสิ่งดีและสิ่งไม่ดี จากวันสุขและวันเศร้า จากวันสว่างและวันฟ้าหม่น ฯลฯ หยิบจับสิ่งที่เราเจอมาเป็นบทเรียนสอนชีวิต ใช้มันเป็นเหมือนก้อนอิฐที่ใช้ซ้อนเป็นชั้นๆ เพื่อยกระดับตัวตนของเราให้เติบโตสูงขึ้น

การโตแต่ตัวนั้นใครๆ ก็ทำได้ แต่การโตทั้งตัวและทั้งใจ ต้องอาศัยความพยายาม ความมุ่งมั่น และความตระหนักรู้เป็นเครื่องมือช่วยที่สำคัญ

Untitiled05623

ดาราที่มาแสดงในภาคนี้ นอกจาก Donnie Yen ที่เป็นตัวหลักแล้ว ก็ยังได้ เจิ้งจั๊ดซื่อ กลับมารับบทสารวัตรบ็อบ และได้ Ka-nin Ngo จากภาค 2 กลับมารับบทเดิม ซึ่งพวกเขาก็มีส่วนช่วยทำให้หนังภาคนี้มีความเป็นภาคสรุปได้ดีครับ อย่างน้อยตัวละครเก่าๆ ก็กลับมาอีกครั้งก่อนเรื่องราวจะจบลง แต่ก็อย่างที่บอกน่ะครับว่าบทสรุปยังไม่จับใจขนาดนั้น อย่างปมพ่อลูกก็ถือว่าโอเคแต่ยังไม่สุดเหมือนกัน นี่ผมรู้สึกว่าผมใช้คำว่า “โอเค” และ “ยังไม่สุด” บ่อยมากเลยน่ะนะครับ แต่มันก็รู้สึกแบบนั้นจริงๆ นั่นแหละ แม้หนังจะกำกับโดย Wilson Yip เหมือนเดิมก็ตาม

… ตอนดูจบก็ใจหายนะครับ ย้อนไปเมื่อตอนดูภาคแรกเป็นครั้งแรกเมื่อ 10 ปีก่อน ก็ไม่นึกนะว่าหนังจะยาวนานมาถึง 4 ภาคขนาดนี้ ครั้นพอได้ดูถึงนาทีสุดท้าย แม้จะรู้สึกว่ายังไม่พีคถึงที่สุด แต่ก็ยังประทับใจกับหนังชุดนี้อยู่ดีครับ ก็ลองว่าติดตาม ตามดูมาตั้งนาน และหนังแต่ละภาคก็ทำออกมาได้ดี จะดีมากดีน้อยก็ว่ากันไป แต่อย่างน้อยก็ไม่มีภาคไหนที่ทำออกมาแล้วแย่น่ะครับ ก็ต้องปรบมือให้หนังชุดนี้เหมือนกันที่รักษามาตรฐานได้ค่อนข้างดี

แล้วผมก็ดีใจแทน Donnie Yen ครับ ต้องถือว่าเขาประสบความสำเร็จอย่างมากนะครับ เขาได้ฝากตำนานไว้กับหนังชุดนี้ เป็นคาแรคเตอร์ที่คนจะจดจำไปอีกนานแสนนาน และที่ลืมไม่ได้คือดนตรีครับ ผู้ประพันธ์ดนตรีให้กับหนังชุดนี้ตั้งแต่ภาคแรกจนถึงภาคสุดท้าย ก็คือ Kenji Kawai เพลงธีมอันเป็นอมตะ ฟังแล้วชวนฮึกเหิมของหนังเรื่องนี้ ก็ถือกำเนิดจากการประพันธ์ของท่านนั่นเอง

นาทีนี้ในหัวผมมีภาพของ Ip Man แต่ละภาคผุดขึ้นมาครับ ผมเห็นภาพชายคนหนึ่งที่ต้องฝ่าฟันอะไรมามากมาย ไม่ว่าจะคู่ต่อสู้ ความยากแค้น สงคราม อันธพาล ความไม่เท่าเทียม การโดนหยามเหยียด การสูญเสีย ความเจ็บปวด ความผิดหวัง ฯลฯ แม้หนังภาคนี้จะยังไม่สุด แต่ผมมองว่าอาจารย์ยิปมันคือหนึ่งในตัวละครที่สุดยอดที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์โลกภาพยนตร์

ขอน้อมส่งครับ

สองดาวครึ่งครับ

Star22

(7/10)