รีวิวหนัง/ภาพยนตร์

Enchanted April (1991) เมษานั้น ไม่มีวันลืม

Untitiled04875

ภาพยนตร์ย้อนยุคจากอังกฤษอีกเรื่องหนึ่งครับ ดูจากดาราและแนวทางของหนังแล้วก็นับว่าน่าสนใจทีเดียว

เรื่องราวเกิดในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ครับ เมื่อล็อตตี้ วิลกินส์ (Josie Lawrence) แม่บ้านชาวอังกฤษกำลังตกอยู่ในสภาวะเบื่อหน่ายกับชีวิตที่แสนจำเจ ชีวิตขาดชีวามานาน และแม้กระทั่งชีวิตของเธอเองเธอก็ไม่ได้เป็นเจ้าของมันครับ เพราะเธอต้องคอยทำตามคำสั่งของสามี (Alfred Molina) อยู่ร่ำไป

แล้ววันหนึ่งเธอก็ไปพบโฆษณาบนหน้าหนังสือพิมพ์ว่ากำลังมีปราสาทแสนสวยในอิตาลีแห่งหนึ่งเปิดให้คนเช่าสำหรับพักตากอากาศ เธอเลยชักชวนเพื่อนอย่างโรส (Miranda Richardson) ที่กำลังหน่ายกับชีวิตพอกัน, แคโรไลน์ เดสเตอร์ (Polly Walker) สาวสังคมชั้นสูง และคุณนายฟิชเชอร์ (Joan Plowright) หญิงชราเจ้าระเบียบผู้เปลี่ยวเหงา ในที่สุดพวกเธอทั้ง 4 ก็ร่วมกันเดินทางไปเที่ยวพักผ่อนยังปราสาทแห่งนั้นครับ

และการเที่ยวครั้งนี้ก็กลายเป็นการฟื้นฟูจิตใจสำหรับบางคน… กลายเป็นจุดเปลี่ยนแห่งชีวิตสำหรับบางคน

พล็อตหนังนับว่าน่าสนใจครับ เรื่องของผู้หญิง 4 คนกับการเดินทางไปพักผ่อนเพื่อค้นหาอะไรบางอย่างในใจ แต่ก็ต้องบอกก่อนน่ะนะครับว่าหนังอาจไม่ได้มาพร้อมฉากที่ตัวละครมาเปิดใจต่อกัน ส่วนหนึ่งก็เพราะนี่คือหนังที่เล่าถึงชีวิตของผู้หญิงชาวอังกฤษเมื่อเกือบ 100 ปีก่อน ซึ่งปกติแล้วพวกเธอก็จะถูกสอนมาให้วางตัวอย่างเหมาะสม จะแสดงอารมณ์หรือเปิดเผยความคิดมากไปก็ไม่ได้ (แม้แต่กับผู้หญิงด้วยกันก็ตาม) ดังนั้นการที่ตัวละครในหนังจะไม่ได้มาเปิดเผยอารมณ์ความรู้สึกแบบคนสมัยใหม่มันก็เป็นเรื่องธรรมดาของยุคนั้นครับ

อันที่จริงต้องบอกว่าถ้าหนังให้ตัวละครหญิงแต่ละคนในเรื่องเป็นคนเปิดเผยเหมือนคนรุ่นใหม่ หนังก็อาจกลายเป็นดูไม่สมจริงไปแทนก็ได้

จุดเด่นของหนังต้องยกให้กับการแสดงดีๆ ของเหล่าดารานำครับ Lawrence ไปได้ดีทีเดียวกับบทหญิงที่อยากมีอิสระเสรี ส่วน Richardson ก็ดูเป็นผู้หญิงที่มีอะไรเก็บไว้ในใจเยอะ ครั้นพอถึงช่วงที่เธอดีใจกับบางเรื่องอย่างสุดๆ สีหน้าของท่าทางของเธอมันก็บ่งบอกเลยนะครับว่าตอนนั้นเธอดีใจแบบแทบเหาะได้ขนาดไหน ส่วน Walker ก็ดูมีสไตล์ครับ เธอดูเป็นสาวสังคมที่ไว้ตัวอย่างยิ่ง แต่พอถึงซีนที่ต้องแสดงอารมณ์แบบ “ผู้หญิงคนหนึ่ง” เธอก็ถ่ายทอดมันออกมาได้ดี

และที่ลืมไม่ได้คือดาราลายคราม Plowright ที่เชื่อว่าหลายคนคงประทับใจกับซีนในตอนท้ายๆ ที่เธอนั่งดูรูปภาพของเพื่อนๆ ที่บัดนี้ได้ตายจากไปหมดแล้ว มันสื่ออารมณ์ความเหงาอ้างว้างของหญิงชราที่ช่วงชีวิตกำลังเดินมาถึงบั้นปลายได้อย่างดีมากจริงๆ ผมดูผมยังเห็นใจเธอเลยครับ (และสักวันหนึ่ง เมื่อเราอายุถึงปูนนั้น เราเองก็อาจจะต้องประสบพบกับอารมณ์อ้างว้างแบบนั้นก็เป็นได้ – ลองคิดดูสิครับ ถ้าเราอายุยืนกว่าคนอื่นๆ ในรุ่นของเรา แล้วเราต้องเห็นเพื่อนฝูงญาติมิตรตายจากไป เมื่อถึงจุดหนึ่งเมื่อเราเหลือตัวคนเดียวก็จะเท่ากับว่าคนที่เคยผ่านเรื่องราวต่างๆ กันมา คนที่เคยมีประสบการณ์ชีวิตร่วมกันมา บัดนี้กลับไม่เหลือใครให้แบ่งปันประสบการณ์หรือความทรงจำ จะเหลือก็เพียงเราที่ยังจำได้ ครั้นจะเล่าให้ลูกหลานฟังก็ทำได้แค่เล่าน่ะครับ พวกเขาอาจไม่สนใจ (เท่าเรื่องของตนเอง) หรือพวกเขาอาจไม่เข้าใจมากเท่ากับคนรุ่นของเรา – เมื่อนาทีนั้นมาถึง เราจะไม่รู้สึกถึงความอ้างว้างได้อย่างไร?)

Untitiled04876

ตัวหนังนั้นเคลื่อนไปด้วยพลังดาราเป็นหลักครับ ส่วนประเด็นสาระในหนังก็ถือว่ามีหลายอย่าง ไม่ว่าจะเรื่องเกี่ยวกับความซื่อสัตย์ระหว่างสามีภรรยา, การเห็นคุณค่าของคู่ชีวิตเรา, เรื่องชีวิตคู่ที่เมื่อคนสองคนมาอยู่ด้วยกันแล้ว ก็ต้องมีการปรับตัวและมีการเว้นพื้นที่หายใจให้กัน ไม่ใช่ต่างฝ่ายต่างทำให้อีกฝ่ายอึดอัด (แบบนั้นชีวิตคู่อาจจบลงเร็วกว่าที่ใครจะคาดคิด) และจะต้องไม่ลืมที่จะฟังซึ่งกันและกันด้วย

แต่ละตัวละครก็มีปมของตัวเองทั้งสิ้นครับ 4 คนก็มีปมต่างกันไป 4 แบบ แต่พวกเธอก็แสดงออกมากไม่ได้เนื่องจากขนบธรรมเนียมและสังคมมีการขีดเส้นเอาไว้ ต้องรอจนถึงที่สุดนั่นแหละครับ พวกเธอถึงจะยอมเปิดเผยความรู้สึกอันแสนเข้มข้นที่อยู่ภายใน ให้ใครสักคนได้รับฟัง… และเมื่อพวกเธอมีกันและกัน นั่นแหละครับที่จะช่วยบรรเทาความหนักอึ้งที่ถูกเก็บซ่อนไว้ในใจของพวกเธอลงได้

ระหว่างดูนี่ผมก็นึกถึงหนังอย่าง The Big Chill ขึ้นมาครับ จริงๆ แนวทางคล้ายๆ กันนะครับ เป็นหนังที่มีตัวละครหลากหลายมาอยู่รวมกันแล้วก็แบ่งปันความคิด แบ่งปันประสบการณ์ชีวิตต่อกัน แต่สิ่งที่ต่างกันคือ The Big Chill เป็นหนังที่ว่าด้วยคนรุ่นใหม่ในอเมริกา ซึ่งการแชร์ประสบการณ์หรือแสดงอารมณ์ออกมาเป็นเรื่องปกติ ในขณะที่เรื่องนี้ก็สะท้อนวิถีชีวิตของผู้หญิงอังกฤษในสมัยเก่าที่ต้องไว้ตัวให้ดี ไฟในไม่นำออก ไฟนอกไม่นำเข้า ซึ่งหนังเรื่องนี้ก็สะท้อนสิ่งเหล่านี้ออกมาได้อย่างดีครับ และหลายครั้งก็อดเห็นใจพวกเธอไม่ได้เหมือนกัน

รู้สึกโชคดีที่เป็นคนสมัยใหม่ขึ้นมาทันทีครับ… แม้บางคนอาจรู้สึกว่ากระทั่งยุคนี้สมัยนี้เราก็ยังถูกจำกัดอิสรภาพอยู่ แต่ถ้าเทียบกับคนรุ่นก่อนแล้ว เราอาจจะสบายกว่าพวกเขาเยอะก็ได้

หนังกำกับโดย Mike Newell ที่ในเวลาต่อมาได้มีผลงานดังๆ อย่าง Four Weddings and a Funeral, Donnie Brasco และ Harry Potter and the Goblet of Fire กับเรื่องนี้ก็ถือว่าเขาคุมหนังได้ดีครับ จังหวะจัดว่าพอเหมาะ และส่วนหนึ่งก็เพราะเขาได้ดาราระดับยอดฝีมือมาร่วมแสดง ผลที่ได้เลยทำให้หนังออกมาน่าพอใจอย่างนี้

แต่หากจะมีอะไรที่ติดอยู่ในใจสักหน่อยก็คงเป็นเรื่องการถ่ายภาพและมุมกล้องน่ะครับ เพราะหนังไปถ่ายทำกันที่ Castello Brown ปราสาทแสนสวยที่อยู่แถวปอร์โตฟิโน (Portofino) ในอิตาลี ซึ่งแถบนั้นมีวิวสวยๆ มากมายครับ และตัวปราสาทเองก็มีความงดงามด้วย แต่ตัวหนังยังไม่สามารถเก็บภาพสวยๆ มาได้เท่าที่ควร มุมกล้องส่วนใหญ่จะค่อนข้างแคบ จับที่ตัวละครเป็นหลัก ซึ่งก็ออกจะน่าเสียดายอยู่ครับ

สำหรับหนังเรื่องนี้ก็สร้างจากนิยายของ Elizabeth von Arnim ซึ่งเธอเขียนนิยายเรื่องนี้ขึ้นที่ Castello Brown เมื่อปี 1922 ครับ ดังนั้นการที่หนังเรื่องนี้ไปถ่ายทำยังสถานที่จริงก็ยิ่งทำให้หนังมีความหมายมากยิ่งขึ้นครับ

สรุปแล้ว นี่ก็เป็นหนังอังกฤษย้อนยุคอีกเรื่องที่ทำออกมาได้น่าจดจำครับ ใครชอบหนังอังกฤษย้อนยุคก็น่าลิ้มลองไม่น้อย โดยเฉพาะคนที่อยากเข้าใจผู้หญิงสมัยก่อน เรื่องนี้ช่วยให้ท่านเข้าใจพวกเธอมากขึ้นได้ครับ

สองดาวครึ่งครับ

Star22

(7/10)