รีวิวหนัง/ภาพยนตร์

There Will Be Blood (2007) ศรัทธาฝังเลือด

Untitled04511

พลังสำคัญของหนังเรื่องนี้คือการแสดงที่ “เอาอยู่” อย่างแรงของ Daniel Day-Lewis จนไม่แปลกใจเลยที่เขาจะสามารถคว้าออสการ์ตัวที่ 2 ไปได้จากบทนี้

หนังเล่าเรื่องการสร้างธุรกิจน้ำมันของแดเนียล เพลนวิว (Day-Lewis) โดยที่เขานั้นก็ไม่ใช่คนตรงอะไรแต่อย่างใด จริงๆ คือเจ้าเล่ห์มากด้วย เขาทำทุกวิถีทางเพื่อให้ตนเองได้กำไรสูงสุดและเป็นผู้ชนะในทุกๆ การแข่งขัน

โดยส่วนตัวผมมองว่าการเล่าเรื่องไม่ได้หวือหวาครับ พลังสำคัญที่หนังมีก็คือการแสดงของ Day-Lewis ที่ทำให้เราอยากจะติดตามหนังไปเรื่อยๆ เพราะเขาสวมบทคนเห็นแก่ตัวได้อย่างร้ายกาจ ทั้งแววตา สีหน้า ท่าทางมันใช่มากๆ ครับ เขาดูเป็นนักธุรกิจที่ไว้ใจไม่ได้จริงๆ

ดาราอีกคนที่แสดงได้เฉียบก็คือ Paul Dano ที่แสดงเป็นฝาแฝด พอล และ อีไล ซันเดย์ รายนี้ก็แสดงแบบเกินร้อยเหมือนกัน เอาแค่ฉากที่เขา “เล่นใหญ่” ในโบสถ์เพื่อให้คนมาศรัทธานั่นก็ต้องปรบมือให้แล้วครับ บอกตรงๆ ว่าแค่ดู 2 คนนี้แสดงก็จัดว่าคุ้มมากแล้ว

ผมอาจจะไม่อินอะไรกับหนังเรื่องนี้มากครับ เพราะเรื่องราวในหนังไม่ได้มีความเข้มข้นจัดๆ แบบหนังอย่าง The Godfather ตัวเรื่องถือว่าคาดเดาได้ไม่ยากและไม่ซับซ้อนอะไร คือเรามองออกน่ะครับว่าท้ายที่สุดแล้วแดเนียลก็ต้องพบกับบทสรุปที่น่าเศร้า แต่จะเศร้ามากหรือเศร้าน้อยเท่านั้นเอง

Untitled04512

ในแง่ของสาระแล้ว หนังก็สะท้อนให้เห็นครับว่าคนที่ใช้ชีวิตอย่างเห็นแก่ตัว เอาแต่อยากได้ชัยชนะโดยไม่เกี่ยงวิธีและไม่สนใจใครนั้น มันยากที่จะลงเอยด้วยความสุข เพราะสุดท้ายแล้วเขาจะไม่เหลือใครคอยเคียงข้างเลย คนดีๆ ก็ไม่อยากคบหา ส่วนคนไม่ดีก็จะมาเพื่อหวังประโยชน์ พอหมดประโยชน์แล้วก็โดนทิ้ง มันคือความจริงในโลกที่มีให้เห็นกันอยู่ประจำ

บทของแดเนียลมันทำให้เห็นน่ะครับว่าคนที่จะเห็นแก่ตัวแบบนี้ เวลามันจะไปให้สุดน่ะมันต้องทำอย่างไรบ้าง คือมันต้องเห็นแก่ตัวแบบไร้ญาติขาดมิตร ไม่มีคำว่าเพื่อน และพร้อมจะสลัดคนอื่นที่เป็นภาระทิ้งได้ทุกเมื่อ อีกทั้งต้องรู้จักสวมหน้ากากให้ถูกจังหวะ เพราะบางครั้งก็ต้องพึ่งพาอาศัยแรงหรือเงินจากคนอื่น ดังนั้นก็เลยต้องใส่หน้ากากเพื่อเอาใจคนที่เขาจะหลอกใช้ประโยชน์

คนแบบนี้มีอยู่มากมายครับ ผมเชื่อว่าหลายคนก็มีโอกาสเจอหน้าคนเหล่านี้อยู่แทบทุกวัน… แต่หวังว่าจะไม่ใช่เจอตอนส่องกระจกนะครับ

จริงๆ การจะอยู่ให้รอดในโลกใบนี้ เราก็ต้องรู้เท่าทันเหมือนกันครับ จะเป็นคนดีเดินบนดอกลาเวนเดอร์อย่างเดียวก็อาจโดนโลกกระทำจนไปต่อไม่ไหวก็ได้ เราต้องรู้ทันคนที่เห็นแก่ตัวหรือคนที่จะมาฉกฉวยผลประโยชน์จากเรา ไม่ยอมให้เขามาเอาเปรียบเรา แต่ก็ไม่ต้องทำตัวเป็นเหมือนแดเนียลที่เห็นแก่ตัวมากจนไม่เห็นแก่ใคร เพราะสุดท้ายแล้วสิ่งเลวร้ายมันก็จะย้อนมาคืนสนองกับเรา ไม่ช้าก็เร็ว

เรียกว่าต้องรู้เท่าทันโลก ไม่ยอมเป็นฝ่ายโดนกระทำ ฉลาดที่จะเอาตัวรอด แต่ก็ไม่ต้องไปกระทำคนอื่น ไม่ทำให้ใครต้องมาเดือดร้อนเพราะเรา… ยอมรับว่าเรื่องแบบนี้ตอนพูดอาจง่ายนะครับ แต่ตอนทำจริงนั้นมันก็ไม่ง่ายสักเท่าไรเลย

Paul Thomas Anderson ทำหน้าที่กำกับและดัดแปลงนิยายมาเป็นบทภาพยนตร์ครับ ซึ่งพี่แกก็มืออาชีพทำหน้าที่ได้ดีอยู่แล้วล่ะ เพียงแต่หากว่ากันตามความรู้สึกจริงๆ แล้วนั้น ผมว่าหนังเรื่องนี้หากถอดเอากาารแสดงของ Day-Lewis และ Dano ออกไป หนังก็ไม่ค่อยอะไรมากนักครับ เนื้อเรื่องไม่ได้เข้ม การเดินเรื่องไม่ได้กระตุ้นให้เราอยากติดตามขนาดนั้น (ที่น่าติดตามก็เพราะการแสดงของ 2 คนนั้นมากกว่า) และถ้าพูดถึงพลังในการเดินเรื่องแล้ว ผมว่าใน Boogie Nights และ Magnolia ผลงานชิ้นก่อนๆ ของพี่ Paul ยังดูมีพลังในจุดนี้มากกว่า

สรุปแล้วดูหนังเรื่องนี้แล้วประทับใจตรงการแสดงของ 2 ดารานำนั่นแหละครับ เล่นได้ดีมาก และดนตรีของ Jonny Greenwood ก็นับว่าน่าจดจำด้วย คือดนตรีมีไม่เยอะครับ แต่พอมีทีไรแล้วมันกระตุ้นความสนใจเราได้ทุกที เป็นท่วงทำนองที่แปลกไปจากหนังเรื่องอื่นๆ พอสมควรด้วย

ก็ว่าไปตามที่คิดครับ มันชอบตรงการแสดงจริงๆ ในขณะที่การเดินเรื่องมันออกจะเรื่อยๆ ไปนิดสำหรับผม ปมขัดแย้งก็ไม่ค่อยมีอะไรมาก ส่วนใหญ่หนังจะไปเน้นที่การรับผลกรรมของแดเนียลที่จะต้องเจอกรรมสนองเป็นระยะๆ

สองดาวครึ่งครับ

Star22

(7/10)