อะไรที่ทำให้ความรักของคนคู่หนึ่งมีความยั่งยืนยาวนาน? บางคนมองว่าคู่รักนั้นๆ จะต้องมีความเหมือนกันถึงจะเข้ากันได้แบบยาวๆ ในขณะที่บางคนก็อาจมองว่าคู่รักนั้นๆ ต้องมีความแตกต่างบางอย่าง เพื่อที่จะได้เติมเต็มซึ่งกันและกัน และนั่นแหละถึงจะทำให้พวกเขารักกันได้นานๆ
โดยส่วนตัวผมมองว่าไม่มีคำตอบที่ตายตัวครับ เพราะคู่รักทั้งที่เหมือนกันและต่างกันก็มีตั้งมากมายที่รักกันจนแก่เฒ่า แล้วในทางกลับกัน คู่รักที่เลิกราไปนั้น ก็มีทั้งแบบที่คนเหมือนๆ กันมารักกันและคนที่ต่างกันมารักกัน (แต่ถ้าถามว่าอัตราส่วนอันไหนมากกว่าอันไหน อันนี้ก็ตอบไม่ได้เพราะยังไม่เคยทำการวิจัยแบบเป็นเรื่องเป็นราว)
และเอาเข้าจริงเรื่องความเหมือนหรือความต่างก็ไม่ใช่ปัจจัยเพียงหนึ่งเดียวที่ส่งผลต่อชีวิตรัก มันยังมีปัจจัยอื่นๆ อีกหลายอย่าง ไม่ว่าจะเรื่องสภาพแวดล้อม ญาติมิตรพ่อแม่ของแต่ละคน การเลี้ยงดู วัฒนธรรมประเพณี ฯลฯ พวกนี้ล้วนมีผลต่อความสัมพันธ์ของคนสองคนไม่มากก็น้อย
และอีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญยิ่ง ก็คือ ตัวตนของคนๆ นั้น ว่าเขาหรือเธอนั้นรู้จักตัวเองหรือไม่ มองเห็นความต้องการตัวเองชัดไหม หลอกตัวเองไหม และที่ลืมไม่ได้คือมุมมองที่คนๆ นั้นมองไปยังคนรักของตนเอง
มีคำกล่าวที่ว่า “เราไม่ควรยึดแต่ความคิดมุมมองของตนแต่เพียงอย่างเดียว” แต่เอาเข้าจริงแล้ว คนทุกคนก็ย่อมมองโลกผ่านมุมของตน มันเป็นเรื่องพื้นฐานธรรมดาของคน
บอกก่อนว่าบทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อเรื่องนะครับ ใครไม่อยากทราบไม่ควรอ่านครับ
The Spectacular Now เล่าถึงชีวิตของหนุ่มที่ชื่อ ซัทเตอร์ (Miles Teller) นายคนนี้พบรักกับสาวสวยสุดเซี้ยวนามว่าแคสซิดี้ (Brie Larson) ความรักของพวกเขาวูบวาบหวือหวา แต่อยู่มาวันหนึ่งสาวเจ้าก็ทิ้งเขาไปหาหนุ่มคนใหม่ ทำเอาซัทเตอร์ไปไม่เป็นอยู่พักใหญ่ๆ
หลังจากซัทเตอร์เอาแต่สำมะเลเทเมาจนเผลอไปหลับอยู่กลางสนามหญ้า ก็มีสาวน้อยนางหนึ่งเดินมาปลุกเขา เธอคือ เอมี่ (Shailene Woodley) และสาวแสนธรรมดา (แบบไม่ธรรมดา) คนนี้แหละครับที่กำลังจะทำให้ชีวิตของซัทเตอร์เปลี่ยนไป
ตัวหนังไม่ใช่กุ๊กกิ๊กหวานแหววแบบ She’s All That ครับ แต่จะเป็นแนวโรแมนติกผสมดราม่าที่บอกเล่าเรื่องราวอย่างเรียบง่าย ไร้ลูกเล่นที่หวือหวา แต่ท่ามกลางความเรียบงายนั้นกลับแฝงไว้ด้วยพลัง มีครบทั้งเนื้อหาสาระสอนชีวิตและความโรแมนติกของพระนางที่ผมบอกได้เลยครับว่ามันทั้งหวาน ทั้งสวยงาม และลึกซึ้งตรึงใจ
พลังอย่างแรกของหนังที่ผมอยากปรบมือให้คือนักแสดงครับ Teller ถ่ายทอดบทของซัทเตอร์ได้อย่างดีเยี่ยม เขาทำให้เราเห็นครับว่าซัทเตอร์นั้นเป็นคนที่ดูเหมือนจะมั่นใจและทำท่าเหมือนจะเข้าใจชีวิต แต่ลึกๆ แล้วซัทเตอร์มีรอยร้าวบางอย่างปริแตกอยู่ในใจ… รอยร้าวที่ว่านั้นไม่มีใครเคยเห็น เพราะเขาสร้างเกราะที่ชื่อว่า “ความมั่นใจ” สวมใส่พรางตัวเอาไว้ ใครต่อใครเลยมองเห็นแต่ด้านที่ดูมั่นใจของเขา
… แม้แต่ตัวซัทเตอร์เองก็ยังโดนความมั่นใจที่ว่านั้นพรางตาตัวเองไว้ ไม่ให้มองเห็นตัวตนจริงแท้ภายในตนเองเหมือนกัน
แต่แล้วการมาของสาวน้อยเอมี่ ก็ทำให้ซัทเตอร์เริ่มเปลี่ยนไป ตอนแรกเขาเหมือนจะคบเธอเพื่อแก้เหงา และให้เธอสอนการบ้านเพื่อที่เขาจะได้เรียนจบพร้อมเกรดดีๆ แต่ยิ่งซัทเตอร์ใช้เวลากับเอมี่มากเท่าไร เขาก็ยิ่งมีความรู้สึกดีๆ ให้กับเธอมากขึ้นเท่านั้น
เอมี่เป็นสาวน้อยแสนธรรมดาที่ไร้การปรุงแต่งครับ เธอไม่ได้แต่งตัวให้สวยเหมือนใครๆ เธอไม่ได้พยายามทำตัวให้โดดเด่น เธอเป็นเหมือนวอลเปเปอร์ในโรงเรียนที่ใครๆ ก็มองข้าม (จริงๆ ซัทเตอร์เองก็มองข้ามเธอมานานเหมือนกัน) แต่ตัวตนของเอมี่นั้นมีความสวยงามจริงใจมากกว่าที่ใครๆ จะคาดคิด
คนที่ประจักษ์เรื่องนี้แบบชัดเจนกว่าใครก็คือซัทเตอร์ที่เริ่มตกหลุมรักเธอทีละนิดๆ เขาพบว่าเธอคนนี้มีความน่ารัก มีความคิดความอ่านที่ลึกซึ้งในหลายๆ สิ่ง เพียงแต่ด้วยความที่ครอบครัวของเธอมักจะกดเธอเอาไว้ (แม่ก็กดเธอ กระทั่งน้องชายยังไม่แคร์เธอ) เลยทำให้เธอไม่ค่อยจะมีความกล้าที่จะเผยด้านดีด้านเด่นในตัวเองออกมาให้ใครๆ เห็น
จนกระทั่งนายซัทเตอร์คนนี้มาคบกับเธอและพูดให้เธอตระหนักถึงความสำคัญของเสียงที่อยู่ในหัวและในใจของเธอ เธอจึงเริ่มที่จะกล้ายืนหยัด กล้าเป็นตัวของตัวเอง
ในตอนแรกจะดูเหมือนว่าซัทเตอร์คือคนเปลี่ยนแปลงเอมี่ แต่พอเวลาผ่านไปกลายเป็นว่าเอมี่นี่แหละที่ทำให้ซัทเตอร์หันมาเปลี่ยนแปลงตัวเอง เพราะจะว่าไปแล้ว สิ่งที่ซัทเตอร์สอนเอมี่ตั้งมากมายนั้น ตัวซัทเตอร์เองก็ยังทำให้สำเร็จไม่ได้ด้วยซ้ำ (ในขณะที่เอมี่ทำสำเร็จหลังจากที่ซัทเตอร์พูดกับเธอไม่นาน)
จุดนี้ก็ต้องชม Woodley ที่แสดงเป็นเอมี่ได้อย่างน่ารักมากๆ ทั้งท่าทาง แววตา การแสดงออกต่างๆ มันเต็มไปดวยความซื่อและจริงใจ จนถ้าเป็นผมนี่ก็คงอดไม่ได้ที่จะตกหลุมรักล่ะครับ เพราะเธอน่ารักมากมายจริงๆ
หนังถ่ายทอดเรื่องราวความรักของซัทเตอร์กับเอมี่ได้อย่างสวยงามครับ มันดูสมจริงจนเราแอบยิ้ม และใจก็เชียร์อยากให้คู่นี้ได้เดินเคียงข้างกันไป หรือถ้าพูดให้ตรงกว่านั้นคือเชียร์ให้ซัทเตอร์เห็นคุณค่าความน่ารักสดใสของเอมี่ เพราะระหว่างที่ความรักกำลังดำเนินไปนั้น เราก็สัมผัสได้ว่าเอมี่รักซัทเตอร์จริงๆ แต่ในขณะที่ซัทเตอร์นั้นกลับดูมีท่าทีลังเลเกิดขึ้น ซึ่งนี่ก็เป็นปมสำคัญมากๆ อย่างหนึ่งในหนังเรื่องนี้
อย่างที่บอกไว้แต่ต้นครับว่าซัทเตอร์มีรอยร้าวบางอย่างในใจ นั่นก็คือเรื่องพ่อที่แยกทางกับแม่แล้วก็ย้ายไปอยู่ที่อื่น เขาคิดเสมอว่าพ่อเป็นคนดีและการที่พ่อต้องจากไปก็เพราะแม่ของเขานี่แหละที่เป็นต้นเหตุ นี่คือปมที่อยู่ในใจเขาเสมอมา
แต่พอถึงเวลาที่เขาได้รับรู้ความจริง รอยที่ว่ากลับปริแตกหนักขึ้น เพราะกลายเป็นว่าพ่อของเขาผิดจริงนั่นแหละ และแม่ของเขาก็พยายามปกป้องเขามาตลอดโดยการไม่ให้รับรู้ความจริง… การได้รับรู้ความจริงข้อนี้ทำให้ความมั่นใจที่เคยมีได้พังทลายลง จากที่เขามั่นใจเสมอว่าตัวเองคิดถูก มองถูก วิเคราะห์ถูก กลับกลายเป็นว่าเขาคิดผิด มองคลาดเคลื่อน และวิเคราะห์พลาดไปไกล
แน่นอนครับว่าพอเกราะ “ความมั่นใจ” พังทลาย รอยร้าวก็กลายเป็นรอยแผล ตัวตนเขาก็พลอยล้มครืนตามไปด้วย ถึงจุดนี้เขาไม่เหลือความเชื่อมั่นในตนเอง รู้สึกเหมือนว่าคุณค่าของตนเองได้หายไป และนั่นทำให้เขาไม่เชื่อกระทั่งว่าเอมี่จะรักเขาได้ (“ใครจะมารักคนกลวงๆ อย่างเขาล่ะ” ซัทเตอร์อาจคิดเช่นนั้น)
แต่นาทีนั้นกลับเป็นการพิสูจน์ใจของเอมี่ว่าเธอรักเขามากจริงๆ เธอไม่สนเลยว่าเขาผิดหรือถูก เธอสนแค่ว่าตอนนี้เขากำลังเสียใจและความเสียใจนั้นมันเกิดเพราะเธอคะยั้นคะยอให้เขาต้องมาพบกับความจริงอันนี้
การที่ผู้หญิงสักคนคิดถึงแต่ผู้ชายที่เธอรักมากจนไม่คิดถึงสิ่งอื่นใด (แม้แต่ชีวิตตัวเอง) แบบนี้ไม่เรียกว่ารักก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรแล้ว
ที่ผมพูดไปนั้นคือจุดพีคของเรื่องครับ จริงๆ มีพีคกว่านั้นอีกแต่ใครที่ยังไม่ดูผมแนะนำให้ไปดูเองจะดีที่สุด แต่หากใครดูแล้วก็คงทราบดีว่าฉากต่อจากเหตุการณ์ที่ผมเล่านั้น คือฉากอะไร (ตอนดูนี่ผมก็แทบจะอุทานออกมาเหมือนกัน มันตกใจน่ะครับ ผมว่าผมอินมากทีเดียวกับฉากนั้น)
ยอมรับเลยครับว่าเรื่องราวของหนังมีความเข้มกำลังเหมาะ (หนังสร้างจากนิยายของ Tim Tharp และดัดแปลงเป็นบทโดย Scott Neustadter และ Michael H. Weber คู่หูที่เขียน 500 Days of Summer และดัดแปลงนิยาย The Fault in Our Stars มาเป็นบทหนังนั่นแหละครับ) ตัวหนังน่าติดตาม ประเด็นในเรื่องก็ชวนให้คิดตั้งแต่ต้นจนจบ
หนังกำกับโดย James Ponsoldt ซึ่งก็ทำหนังออกมาได้ดีครับ เล่าแบบง่ายๆ ตรงๆ ได้เนื้อได้น้ำครบในระดับหนึ่ง (แต่อาจจะยังไม่ถึงกับสุดแบบเต็มที่) และหากใครคาดหวังลูกเล่นในการเล่าหรืออารมณ์ที่ปรุงมากกว่านี้ก็อาจต้องเผื่อใจไว้ครับ
ตัวหนังสรุปเรื่องราวได้ดีครับ หลังจากผ่านเหตุการณ์ทั้งหลายมา ในที่สุดซัทเตอร์ก็คิดได้ว่าเขาต้องเลือกทางที่ดีที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ เพราะหากพลาดไปเขาก็อาจต้องเสียใจไปตลอดชีวิต เรียกว่าในท้ายสุดซัทเตอร์ก็เรียกความมั่นใจกลับคืนมา และเดินหน้าทำสิ่งที่ถูกต้อง แก้ไขสิ่งที่ผิดพลาด
ครับ ผมชอบประเด็นปิดเรื่อง แต่ก็ยอมรับว่าการเล่าเรื่องในส่วนหลังนี้ยังพีคได้อีก ยังสื่อประเด็นได้มากกว่านี้ แต่ก็ไม่เป็นไรครับ เท่าที่เป็นนี่ก็นับว่าดีพอสมควรแล้ว
หนังเรื่องนี้โดยหลักแล้วคือหนังรักวัยรุ่นครับ แต่ขณะเดียวกันมันก็มีประเด็นดีๆ สอนใจทั้งวัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่ให้รู้จักคิดพิจารณาสิ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ไม่ว่าจะอดีตที่ขมขื่น ปัจจุบันที่สับสน และอนาคตที่คลุมเครือ ซึ่งปัญหาเหล่านี้เราเจอกับมันได้ทุกคนครับ เจอได้ในทุกวัยด้วย แต่แม้เราจะเจอกับปัญหาเหล่านี้มารุมเร้า เราก็ควรตระหนักในสิ่งหนึ่ง นั่นคือ ตัวเอกหลักที่จะช่วยเราให้พ้นจากปัญหาต่างๆ ได้ก็คือตัวเราเองนี่แหละ ก่อนอื่นเราต้องรู้จักตัวองให้ดีเสียก่อน รู้ทั้งจุดอ่อนจุดแข็ง รู้ปมที่ถูกฝังไว้ในใจแล้วเรียนรู้ที่จะคลายมัน ลองอ่านหนังสือ ลองหาคนคุย ค่อยๆ คลายทีละปม เข้าใจทีละจุด และที่สำคัญคือเราต้องกล้าเผชิญหน้ากับมัน อย่าเอาแต่หนี ทั้งหมดนี้คือแนวทางที่อาจจะช่วยให้เราหลุดพ้นจากภาวะหัวเลี้ยวหัวต่อที่แสนจะสับสนได้
ถือเป็นหนังอีกเรื่องที่ทำออกมาดีครับ ดาราเล่นกันเจ๋ง เนื้อหามีสาระ แต่ก็ต้องย้ำอีกทีว่าการนำเสนอมันเรียบๆ ง่ายๆ ครับ ใครไม่ชอบอะไรที่เรียบๆ เรื่อยๆ ก็อาจต้องปรับใจก่อนดูสักหน่อย แต่ผมก็อยากให้ดูครับ เพราะผมเชื่อว่ามันมีอะไรดีๆ รอให้ท่านค้นหาอยู่
สองดาวครึ่งบวกๆ ครับ
(7.5/10)
หมวดหมู่:รีวิวหนัง/ภาพยนตร์, หนังแนะนำ Recommended, Comedy, Drama, Romance