รีวิวหนัง/ภาพยนตร์

Searching (2018) เสิร์ชหา…สูญหาย

Untitled04398

ว่าตามจริงพล็อตหนังเรื่องนี้ไม่ได้ซับซ้อนอะไรมากครับ ผมเชื่อว่าใครที่ดูหนังแนวสืบสวนมามากๆ น่าจะเดาอะไรๆ ได้แบบไม่ยากเย็น แต่ถึงกระนั้นแล้ว Aneesh Chaganty ที่รับหน้าที่ทั้งกำกับและเขียนบท (งานเขียนบทนี่เขาร่วมกับ Sev Ohanian อีกคนครับ) ก็สามารถทำให้หนังเรื่องนี้น่าติดตามและลุ้นได้แบบกำลังดี

พล็อตมาง่ายๆ เลยครับ เดวิด คิม (John Cho) พบว่าลูกสาวของตัวเอง (Michelle La) หายตัวไป เขาเลยพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อตามหา แต่มันก็ไม่ง่ายเลยเพราะตัวเขาเองก็ไม่ได้สนิทกับลูกสักเท่าไร เพื่อนของลูกมีใครบ้างเขาก็ไม่ทราบ

ครับ จริงที่พล็อตหนังคือการตามหาคนหาย และอย่างที่บอกว่ามันไม่ได้ซับซ้อนอะไร แต่จุดเด่นที่หนังทำให้มันมีความน่าติดตามก็คือปมระหว่างพ่อลูกน่ะครับ หนังเปิดมาก็แนะนำคนดูรู้จักครอบครัวนี้ที่ตอนแรกมีพ่อ แม่ และลูกสาว แต่แล้วคนเป็นแม่ก็ต้องมาจากไปเพราะโรคร้าย และทำให้เหลือแค่พ่อกับลูก

ซึ่งความสัมพันธ์ของพวกเขาก็ไม่ค่อยจะดีสักเท่าไร เพราะพ่อก็เสียใจที่ภรรยามาตายจากจนทำให้เขาห่างเหินกับลูกแบบไม่ตั้งใจ ส่วนลูกก็ขาดความอบอุ่นจนกลายเป็นคนชอบอยู่คนเดียว หนังปูประเด็นตรงนี้ได้ดีมากครับ ซึ่งส่งผลดีทั้งในแง่ของปมในหนังที่ทำให้ตัวละครมีมิติ และยังสะท้อนปัญหาเรื่องครอบครัวและความสัมพันธ์ให้คนดูเก็บมาไตร่ตรองเป็นกำไรคิดได้อีกด้วย

สารภาพตามตรงเลยครับว่าตอนแรกผมไม่ได้คาดหวังอะไรกับหนังเรื่องนี้มากนัก เพราะรู้อยู่ว่าหนังมันดำเนินเรื่องผ่านหน้าจอคอม ไม่ได้เดินเรื่องแบบหนังทั่วไป ก็ทำให้แอบกลัวน่ะครับว่าหนังมันจะน่าติดตามไหม (และส่วนใหญ่หนังที่เดินเรื่องแบบนี้ก็ไม่ค่อยอร่อยแบบเต็มที่ด้วย) แต่แล้วผู้กำกับ Chaganty ก็ทำให้เราเห็นครับว่าหากเขียนบทให้ดีเสียอย่างแล้ว หนังที่เดินเรื่องผ่านหน้าจอคอมก็สามารถสนุกได้ไม่แพ้หนังที่เดินเรื่องแบบปกติเลย (เอาจริงๆ แล้วหนังทำให้ออกมาได้สนุกกลมกล่อมกว่าหนังที่เดินเรื่องแบบกติอีกหลายๆ เรื่องด้วยครับ)

อย่างที่บอกครับว่าการเขียนบทเป็นอะไรที่ดีมาก จุดนี้ยกนิ้วให้เลยจริงๆ เรื่องปมของตัวละครมันทำให้เราอินไปกับเรื่องราวได้ จนผมแน่ใจเลยว่าถ้าใคร Sensitive หน่อยล่ะก็อาจมีหลั่งน้ำตาได้ในหลายวาระ และปมเหล่านั้นยังนำมาสู่เหตุการณ์สืบตามปมต่างๆ (เช่น การที่พ่อไม่ค่อยรู้เรื่องลูก เลยทำให้ต้องมาคิดหาทางติดต่อกับเพื่อนของลูก ต้องมานึกว่าจะติดต่อได้อย่างไร ติดต่อได้ทางไหนบ้าง ฯลฯ) ซึ่งหนังก็บริหารสมองเราในทางหนึ่งเหมือนกันครับ ทำให้เราคิดตามว่าถ้าเป็นเราเจอเรื่องแบบนี้เราจะทำอะไรได้บ้าง

Untitled04397

John Cho แสดงได้ดีครับ เขาคือพลังหลักอย่างหนึ่งของหนังก็ว่าได้ เพราะพี่แกโผล่ในจอตลอดทั้งเรื่อง การแสดงอารมณ์ผ่านทางแววตาหรือน้ำเสียงนี่อยู่ในขั้นดีมากเลยล่ะครับ ส่วนดารารายอื่นๆ ก็เสริมเรื่องให้กับหนังได้ดีเช่นกัน แต่ก็อย่างที่บอกน่ะครับว่าเรื่องนี้เป็นโชว์เด็ดของ Cho พี่แกเอาหนังอยู่จริงๆ

บทเขียนได้ดี ดาราแสดงดี และการเล่าเรื่องก็ทำได้ดีครับ ช่วงต้นหนังก็ปูพื้นความสัมพันธ์ของครอบครัวนี้ ซึ่งถือว่าปูแบบได้ผล ส่วนสำคัญก็เพราะการเล่าที่เข้าประเด็น ไม่มัวชมนกชมไม้อะไรมาก คือเล่าแบบเนื้อๆ เลยว่าครอบครัวนี้เป็นอย่างไร จากนั้นพอถึงโหมดพ่อตามหาลูก หนังก็เล่าแบบเนื้อๆ เช่นกัน เป็นการเล่าแบบตามปมจากปมหนึ่งไปสู่อีกปมหนึ่ง ไม่ค่อยมีวาระเอ้อระเหย เลยทำให้ความน่าติดตามมีอยู่ตลอดไปจนหนังจบ

แล้วก็อย่างที่บอกน่ะครับ ว่าปมหลักของหนัง (ลูกของเดวิดหายไปไหน) ตอนท้ายก็มีการ Twist อยู่บ้าง แต่สำหรับผมมันก็พอจะเดาได้ ผมเลยไม่ได้ว้าวอะไรกับจุดนี้นัก แต่กระนั้นมันก็ไม่ได้ทำให้หนังอร่อยน้อยลงเลยครับ เพราะความสนุกจริงๆ มันคือตอนที่เดวิดสืบมากกว่า มันสนุกตรงที่เราได้ดูได้เห็นว่าเดวิดตามหาลูกด้วยวิธีใดบ้าง และเขาต้องพบเจอกับเรื่องอะไรบ้าง ดังนั้นแล้วแม้หนังจะเดาได้ แต่ยังไงมันก็ยังสนุกอยู่ดี

มันทำให้คิดน่ะครับว่าหนังหลายเรื่องพยายามจะเน้นเฉพาะตรงจุดหักมุม แต่การเดินเรื่องระหว่างทางกลับไม่ค่อยสนุกเท่าไร อีหรอบนั้นแม้จะหักมุมได้ดีแค่ไหน แต่ความสนุกมันก็จะไม่พลุ่งพล่านอยู่ดี แต่ถ้าหนังเรื่องไหนเดินเรื่องสนุกแล้ว แม้ตอนจบจะไม่สุดๆ แต่ความน่าจดจำมันก็ยังคงมีมากกว่า (และแน่นอนว่าถ้าเดินเรื่องดีด้วย จบดีด้วย มันย่อมสุดๆ)

อีกสิ่งหนึ่งที่ชอบมากในหนังเรื่องนี้ก็คือการสะท้อนโลกของโซเชียลเน็ทเวิร์กครับ อย่างเรื่องเพื่อนใน Facebook ที่แม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นเพื่อนกันใน Face แต่เอาเข้าจริงอาจไม่รู้จักอะไรกันเลยก็ได้ เหมือนเป็นเพื่อนแค่ในนาม เป็นเพื่อนแบบเขาแอดมาเราก็รับไป หรือ Face แนะนำมาเราก็แอดไป แต่เอาเข้าจริงเพื่อนที่ว่ากลับไม่ได้มีการผูกสัมพันธ์หรือทำความรู้จักกันเลย

ผมว่านิยามคำว่า “เพื่ือน” ใน Facebook มันต่างไปจาก “เพื่อน” ในโลกจริงน่ะครับ เพราะเพื่อนในโลกจริงมันคือเพื่อนที่เราได้เห็นหน้า ได้พูดคุย ได้มีประสบการณ์บางอย่างร่วมกัน ต้องมีสิ่งเหล่านี้มากในระดับหนึ่งเราถึงจะเรียกใครสักคนว่า “เพื่อน” ได้

Untitled04399

แต่โลกใน Face แค่เราแอดใครสักคนและเขารับแอดเรา ระหว่างเรากับเขาก็จะมีตราประทับคำว่า “เพื่อน” ลงในหน้าวอลล์ โดยที่เราและเขาอาจไม่เคยคุยกันด้วยซ้ำ… และใน Searching ก็สะท้อนประเด็นเรื่อง “เพื่อน” ในโซเชียลได้แบบตรงไปตรงมาดี

ไหนจะเรื่อง “เกาะกระแส” อีก ตอนที่เดวิดโทรไปสอบถามเงื่อนงำกับ “เพื่อน(ในนาม)” ของลูกสาวว่าเธอรู้บ้างไหมว่าลูกเขาหายไปไหน คุณเพื่อนคนนี้ก็ตอบแบบขอไปที ไม่ได้มีกะจิตกะใจจะช่วยตามหาหรือเห็นอกเห็นใจเดวิดเลย แต่พอข่าวกรหายตัวไปของลูกเดวิดดังขึ้นมา คุณเธอก็รีบอัดคลิปออกมาร้องห่มร้องไห้ เสียใจจะเป็นจะตายที่ “เพื่อน” ของเธอต้องมาประสบกับชะตากรรมแบบนี้… เป็นการจิกกัดความเสแสร้งที่ตรงไปตรงมาดีจริงๆ ครับ

นอกจากนี้ประเด็นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเดวิดกับลูก แม้จะถูกนำเสนอผ่านคลิปและหน้าจอคอม แต่เราก็สัมผัสได้ถึงเลือดเนื้อและจิตใจของตัวละครครับ อย่างรอยแยกที่เกิดขึ้นระหว่างใจเดวิดและใจลูกสาว ที่เอาเข้าจริงแล้วทั้งพ่อทั้งลูกคู่นี้ไม่ได้โกรธหรือเกลียดกัน เพียงแต่วิธีปฏิบัติต่อกันมันผิดไปจากที่ควรจะเป็น อย่างการที่เดวิดพยายามหลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงภรรยาที่จากไป เพราะไม่อยากให้ลูกเสียใจ แต่หารู้ไม่ว่าการไม่พูดของเขากลับสร้างรอยแยกระหว่างเขากับลูก มันปริแตกมากขึ้นเรื่อยๆ ตามกาลเวลา (เพราะจริงๆ แล้วทั้งเขาและลูกต่างก็ยังไม่สามารถลืมเธอได้อยู่ดี)

คนในครอบครัว หากไม่สามารถคุยเรื่องในครอบครัวต่อกันได้อย่างเปิดเผยแล้ว ครอบครัวนั้นย่อมยากที่จะรักษาความเป็นครอบครัวให้คงอยู่ต่อไปได้…

แต่ขณะเดียวกันก็เข้าใจน่ะครับ ว่าคนที่ต้องเจอกับความสูญเสียแบบนี้ก็คงมีบ้างที่ยากจะทำใจ และมันไม่แปลกเลยที่พวกเขาจะตัดสินใจทำอะไรบางอย่างลงไปแบบไม่ถูกต้องหรือผิดไปจากตรรกะที่เหมาะสม เพราะอย่างเดวิดเองก็คงคิดน่ะครับ ว่าการที่เขาไม่พูดถึงภรรยาต่อหน้าลูกน่าจะส่งผลดี เพราะลูกน่าจะไม่เสียใจ – บางทีตรรกะการคิดของคนเราก็บิดผันไปตามประสบการณ์ที่ผ่านมากระทบใจเรา

บางทีอาจต้องรอให้เกิดเหตุการณ์บางอย่างที่จะเป็นจุดเปลี่ยน (แบบที่เดวิดเจอ) มันถึงจะทำให้เราเข้าใจถึงบทเรียนอันแสนสำคัญนี้ได้

ชีวิตคนเรามีทั้งส่วนที่ยากและส่วนที่ง่าย บางทีกว่าจะเข้าใจอะไรสักอย่างเราก็อาจต้องเสียอะไรไปบางอย่าง… No Pain No Gain อย่างที่เขาว่ากัน…

Untitled04400

โดยรวมแล้ว Searching ถือเป็นหนังที่ประสบความสำเร็จในแง่ของการนำเสนอครับ ด้านเนื้อเรื่องก็น่าติดตาม การทิ้งปมตามปมถือว่าพอเหมาะ ไหนจะมิติตัวละครที่แม้เราจะเห็นใครต่อใครจากหน้าจอคอมก็เถอะ แต่ประเด็นเกี่ยวกับตัวละครนั้นๆ ที่ถูกนำเสนอมันก็ทำให้ตัวละครทั้งหลายดูไม่แบนราบ ดูมีเลือดมีเนื้อและมีจิตใจ

หนังแบบนี้มีออกมาให้ดูไม่บ่อยครับ และยิ่งหนังแบบนี้ที่ทำออกมาได้ดีแบบนี้ก็ยิ่งมีน้อยเข้าไปใหญ่

สองดาวสามส่วนสี่ดวงครับ

Star22

(7.5/10)