ความรู้สึกที่ผมมีต่อ The Meg นั้นแบ่งออกได้เป็น 2 ครึ่งครับ นั่นก็คือครึ่งแรกกับครึ่งหลัง ซึ่งความรู้สึกที่มีต่อแต่ละครึ่งนั้นจัดว่าต่างกันพอสมควร
ครึ่งแรกผมชอบนะ ชอบถึงขั้นว่าบางขณะจิตนี่กะจะซื้อแผ่น 4K เก็บไว้เลย เพราะผมชอบหนังที่มีฉากใต้น้ำครับ ประเภทผจญภัยใต้น้ำ ดำลงไปเจอกับโลกใต้สมุทรนี่เป็นอะไรที่โปรดสุดๆ และครึ่งแรกหนังก็เสิร์ฟฉากพวกนี้ให้ผมแบบเต็มอิ่มจริงๆ ไม่ว่าจะสัตว์ใต้ทะเลลึก หรือองค์ประกอบต่างๆ มันสวยเด่นและมีเสน่ห์มากๆ ไหนจะโทนสีที่สดแบบสุดๆ เลยทำให้คนชอบฉากใต้น้ำแบบผมนี่ฟินไปเลยล่ะครับ
เนื้อหาช่วงต้นก็นับว่าโอเค เมื่อมีทีมสำรวจไปติดอยู่ใต้ทะเลลึก ทำให้ต้องมีการตามนักกู้ภัย (ผู้มีปมอดีตในใจ) อย่างโจนัส เทย์เลอร์ (Jason Statham) ให้ดำดิ่งลงไปช่วย และที่นั้นเองที่พวกเขาต้องเจอกับโคตรฉลามดึกดำบรรพ์ตัวมหึมาและโคตรจะร้ายกาจ
ครึ่งแรกผมว่าสนุกเลยครับ นอกจากฉากใต้น้ำที่ทำออกมาได้เวิร์กสุดๆ แล้ว ในแง่ความตื่นเต้นก็ถือว่าหนังทำได้ดีครับ มันมีอารมณ์ความเป็นหนังผจญภัย มีความน่าติดตามและความลุ้นอยู่ในระดับที่พอเหมาะ พี่ Jason ก็เหมาะอยู่แล้วกับบทแบบนี้ (ประเภทพระเอกที่เทพโคตร กวนโคตร มั่นโคตร) มันเลยเป็นอะไรที่เพลินมากในครึ่งแรก
ทีนี้พอหมดครึ่งแรก พอการกู้ภัยเสร็จสิ้น หนังก็เข้าสู่ครึ่งหลังครับ โดยผูกเรื่องให้เจ้าโคตรฉลามใต้ทะเลลึกโผล่มาสร้างความระทึกต่อที่ทะเลด้านบน ทำให้เหล่าตัวละครต้องหาทางปราบมัน ก่อนที่มันจะแหวกทะเลไปงาบมนุษย์โลกคนอื่นๆ ที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่
ครับ ครึ่งแรกผมชอบ มันสนุกดี ในขณะที่ครึ่งหลังนี่นั่งเกาหัวแกรกๆ เลยครับ เพราะกลายเป็นว่าหนังอุดมไปด้วยตัวละครที่ชวนให้รำคาญ บางคนก็สมองน้อยจนหาเรื่องให้ตัวเอง (และคนอื่นๆ) ไปตายเพราะไอ้โคตรฉลามตัวนี้ หรือบางฉากตัวละครก็มีสัญชาตญาณการระวังภัยต่ำมากเกินไป ประเภทว่าตัวตกไปอยู่ในน้ำ แล้วก็ไม่รีบหาทางขึ้นมา จนผมแทบจะตะโกนเข้าไปในจอน่ะครับว่า “เฮ้ย รีบขึ้นจากน้ำก่อน” หรือไม่ก็ “เฮ้ย อย่าไปยืนตรงนั้น เดี๋ยวโดนงาบหรอกเฮ้ย”
ถ้ามีแค่ฉากสองฉากก็คงพอไหวน่ะครับ แต่นี่มีเยอะมาก ในขณะที่ช่วงครึ่งแรกนั้นแทบไม่มีอะไรแบบนี้เลย ตัวละครค่อนข้างดูมีสมอง มีสติ และมีความเสียสละจนทำให้เราอดไม่ได้ที่จะลุ้นและสะเทืิอนใจยามพวกเขาเจอกับเรื่องร้ายๆ
แต่กับครึ่งหลังนี่เหมือนหนังคนละม้วนครับ มันกลายเป็นหนังเกรดบีแนวสัตว์โลกน่ารักที่ตัวละครถูกกำหนดมาให้ตายตามสูตร ซึ่งจริงๆ ก็พอเข้าใจได้ครับหากจะมีตัวละครใดต้องตายตามสูตรสำเร็จ แต่อย่างน้อยก็น่าจะผูกเหตุการณ์ให้มันลุ้นกว่าที่เป็น ไม่ใช่เอาตัวละครไปวางเพื่อเสิร์ฟฉลามแบบง่ายๆ
ครึ่งหลังก็ชวนให้นึกถึงหนังสัตว์ประหลาดเกรดบีจริงๆ ครับ มีฉากฉลามจู่โจมผู้คน ฉากผู้คนหนีตาย และฉากเผด็จศึกสุดท้ายระหว่างตัวเอกกับโคตรฉลาม ซึ่งความลุ้นก็เรื่อยๆ ไม่ได้เร้าใจหรือตื่นเต้นเท่าครึ่งแรก
หนังกำกับโดย Jon Turteltaub ที่ทำผลงานที่ผมชอบเอาไว้เยอะ ไม่ว่าจะ Cool Runnings, While You Were Sleeping, Phenomenon, Disney’s The Kid และ National Treasure ทั้ง 2 ภาค ไหนจะ Last Vegas อีก ในขณะที่เรื่องนี้ จริงๆ ผมเกือบจะชอบแล้วครับ เพราะครึ่งแรกมันพอดีพอเหมาะ มีทั้งแอ็กชัน ผจญภัย ระทึกขวัญผสมกันได้ดี แต่พอครึ่งหลังกลายเป็นหนังสัตว์โลกน่ารักกินคนเกรดบีที่บางจังหวะก็ดูตลกซะอย่างนั้น
ว่ากันว่าตอนแรกหนังจะกำกับโดย Eli Roth เจ้าของผลงานหนังโหดๆ อย่าง Cabin Fever, Hostel และ The Green Inferno โดยเงื่อนไขของเขาคือจะขอทุนในการทำหนังเรื่องนี้ $150 ล้าน และจะมีความรุนแรงระดับเรท R และที่สำคัญสุดคือเขาจะขอรับบทโจนัส ตัวเองของเรื่องอีกด้วย ซึ่งทางสตูดิโอผู้สร้างก็บอกปฏิเสธครับ เพราะคิดว่าบารมีของ Roth ยังไม่มากพอที่จะเป็นดารานำในหนังร้อยล้านแบบนี้
ส่วนทุนของหนังเรื่องนี้จริงๆ ก็ใช้ไป $130 ล้านครับ ได้คืนมา $530 ล้านจากทั่วโลก ก็กำไรงามจนมีแผนจะทำภาคต่อกันออกมา แต่จะทำหรือไม่ก็คงต้องติดตามกันต่อไป
โดยรวมแล้ว หนังก็เป็นแนวสัตว์ประหลาดบุกที่ดูได้เรื่อยๆ ครับ ครึ่งแรกจัดว่าสนุก แต่ครึ่งหลังความน่าติดตามมันดร็อปลงเพราะความแน่นของบทกับตัวละครมันดร็อปจนรู้สึกเสียดายเหมือนกันครับ เพราะถ้าครึ่งหลังคงอารมณ์ครึ่งแรกไว้ได้ ให้ตัวละครมีสติกันมากๆ หน่อย ถ้าตัวไหนจะต้องตายก็ตายเพราะมันสุดๆ แล้วจริงๆ (เช่น ระวังเต็มที่แล้ว แต่ฉลามมันร้ายและฉลาดมากจนหนีไม่ทัน) และให้มีการใช้สมองเฉือนคมกับฉลามมากๆ สักหน่อย (ประมาณว่าฉลามฉลาด คนก็ฉลาดจนกินกันไม่ลง กว่าจะปราบได้ทำเอารากเลือดลุ้นสุดๆ) ผมว่าหนังมันจะอร่อยขึึ้นเยอะครับ
ครึ่งแรกนี่ผมให้สองดาวครึ่งเลยนะ แต่ครึ่งหลังนี่แทบจะดาวครึ่ง พอเอามาป๊ะกันก็ได้แบบกลางๆ ครับ
สองดาวครับ
(6/10)
หมวดหมู่:Action, Adventure, รีวิวหนัง/ภาพยนตร์, Horror, Monster Movies, Sci-Fi