เท่าที่รับรู้มา ดูเหมือนหนังเรื่องนี้จะโดนสับเป็นบะช่อพอสมควรเลยครับ (555) ในขณะที่ผมนั้นดูแล้วก็รู้สึกว่าดูได้เพลินๆ ไม่ได้ผิดหวังอะไรนัก ส่วนหนึ่งก็อาจเพราะไม่ค่อยหวังอยู่แล้ว บวกกับสไตล์ของหนังที่ออกมาใกล้ๆ กับที่กะไว้ตั้งแต่ตอนดูตัวอย่าง
หนังชวนให้นึกถึงหนังสยองช่วงปลายยุค 70 จนถึงกลาง 90 น่ะครับ ประเภทที่ว่าด้วยพลังสยองเหนือธรรมชาติที่มาไล่ฆ่าตัวละครไปทีละคน ซึ่งพลังที่ว่านี่ก็มีหลายแบบ ไม่ว่าจะเป็นซาตาน (แบบ The Omen), แม่มด (Suspiria และ Inferno) ผีสางต่างๆ คำสาปต่างๆ ที่ทำงานอาถรรพ์ พิพิธภัณฑ์นรกแตก ฯลฯ แล้วแต่ว่าคนเขียนบทจะปั้นแต่งอะไรขึ้นมา
แต่ไม่ว่าจะเป็นพลังอะไรหรือตัวอะไรก็ตาม มันจะมาแนวเดียวกัน คือ ตอนต้นปูเรื่อง ตอนกลางเริ่มเผยความสยอง แล้วจากนั้นตัวละครก็จะทยอยตาย โดยแต่ละคนก็มักจะโดนเล่นตอนอยู่เพียงลำพังเสมอ
จริงๆ ตัวอย่างหนังสรุปเนื้อหาหลักๆ ไปแล้วล่ะครับ เรื่องว่าด้วยมีคนไปพบงานศิลปะของชายที่เสียชีวิตไป แล้วก็เอามาจัดแสดงพร้อมจัดจำหน่ายเพื่อทำกำไร แต่ทำไปทำมาก็เริ่มมีคนตาย แล้วปมก็เริ่มเผยออกมาว่ามันมีความน่ากลัวอะไรซ่อนอยู่ในงานเขียนของคนๆ นี้
ว่าตามจริงคือตัวหนังสยองแบบมีเพดานอยู่พอสมควรน่ะครับ ไม่ได้แรงหรือแหวะอะไรมาก และส่วนมากก็พยายามเล่นอารมณ์สยองกับบรรยากาศและความผิดปกติต่างๆ ซึ่งตอนดูผมว่ามันก็เรื่อยๆ ดี มีกลิ่นอายสยองอยู่ เดินเรื่องคล้ายนิยายค่อยๆ เปิดไปทีละหน้า แต่กระนั้นมันก็ไม่ได้สยองมากจนถึงระดับหลอนหรือทำให้เราจมไปกับหนังแบบเต็มๆ
ผมนึกถึงตอนดู Nightcrawler งานชิ้นแรกของ Dan Gilroy (ที่เขียนบทและกำกับ Velvet Buzzsaw เรื่องนี้) อันนั้นผมว่ามันยังดูหลอนและสยองแบบลึกๆ มากกว่าน่ะครับ
แม้จะไม่ได้ชอบมากมาย แต่ผมก็เพลินกับหนังอยู่ ส่วนสำคัญก็เพราะดาราที่มาเล่นล้วนเป็นระดับยอดฝีมือ ทุกคนลงล็อคเหมาะกับบท ไม่ว่าจะ Jake Gyllenhaal ที่ดูเป็นนักวิจารณ์ศิลปะที่มีความถือดีอยู่ในตัว ตามด้วย Rene Russo, Zawe Ashton, Tom Sturridge, Toni Collette แต่ละคนล้วนดูเป็นคนในวงการศิลปะที่มีความหัวสูง ทะเยอทะยาน และพร้อมจะปักมีดแทงข้างหลังคนใกล้ตัวได้ทุกเมื่อ พร้อมทำทุกอย่างเพื่อความอยู่รอด และลีลาการลงมือจะมาพร้อมจริตจะก้านแบบผู้ดีต้นแดงหน่อยๆ
แต่รายที่ผมออกจะชอบเป็นพิเศษ คือ Natalia Dyer ครับ ผมว่าเรื่องนี้เธอดูน่ารักนะ รู้สึกว่าเธอดูเข้ากับลุคเนิร์ดๆ น่ารักๆ แบบนี้ดี (ฮาตอนที่เธอสบถออกมาในตอนท้ายน่ะครับ มันบ่งบอกความรู้สึกเธอได้ดีจริงๆ)
ในแง่ความสยอง ก็อาจจะไม่ได้มากอะไรครับ ยิ่งถ้าจะถามหาความใหม่นี่ผมว่าคงต้องทำใจหน่อย เพราะอย่างที่บอกว่าหนังทำเหมือนพาเราไปรำลึกถึงหนังสยองยุคเก่าๆ ดังนั้นตัวหนังก็ไม่ได้มีอะไรหวือหวาหรือแปลกใหม่ ซึ่งพอลองคิดไปคิดมา ส่วนหนึ่งที่ผมรู้สึกเพลินกับหนังอาจเพราะมันมีความเป็นหนังสยองเหนือธรรมชาติยุค 70 – 90 นี่แหละครับ มันเป็นอะไรที่คุ้นเคยดี และจะว่าไประยะหลังหนังสไตล์นี้ก็ไม่ได้มีออกมาเยอะเหมือนเมื่อก่อนด้วย ทำให้พอได้มาดูแบบนานๆ ที มันก็เพลินดีเหมือนกัน
และว่าตามจริงทั้งดาราและงานสร้างถือว่าดูดีมีระดับครับ เพียงแต่บทอาจไม่ได้มีอะไรเจ๋งๆ และความสยองไม่ได้เต็มขั้นเต็บสูบเท่านั้นเอง
ครั้นจะถามว่าหนังสื่ออะไร ผมว่ามันก็เห็นๆ อยู่ครับ ไม่ว่าจะการจิกกัดวงการศิลปะที่ดูจะมีแต่คนหัวสูงและคำนวณกันแต่เรื่องเม็ดเงินมากกว่าจะสนใจที่คุณค่าของศิลปะจริงๆ, การหักหลังที่เกิดขึ้นได้เสมอ (อันนี้ไม่ว่าจะวงการไหนก็มีกันทั้งนั้น) หรือตัวละครโคโค่ (Dyer) ก็เป็นเหมือนคนวงการศิลปะมือใหม่ที่พยายามหัดเป็นนกหลายหัวเพื่อเอาตัวรอด ทางเลือกเธอจริงๆ ก็มีแค่ 2 น่ะครับ นั่นคือจะเป็นแบบพวกคนอื่นๆ หรือจะเก็บของกลับบ้านเกิดไปหาอย่างอื่นทำ เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าโลกจริงๆ ก็เป็นแบบนี้ มันมีการแข่งขันและการแทงข้างหลัง การแบ่งพรรคแบ่งพวกแบบนี้จริงๆ – ที่พูดนี่ก็ดูเหมือนจะปรากฏในทุกวงการได้เหมือนกัน
เรื่องนี้ John Malkovich มีบทไม่เยอะ แต่ผมชอบนะ คาแรคเตอร์เขาคือ เพียร์ส ศิลปินที่เคยรุ่งและมีผลงานขายได้มากมาย แต่ระยะหลังเขาเริ่มเขียนงานไม่ออก เริ่มรู้สึกหมดไฟและไร้ชีวิตชีวา ไม่ว่าจะเพราะความกดดันอันเกิดจากความสำเร็จเก่าๆ ค้ำคอไว้, เพราะโลกแห่งการทำงานศิลปะ บางทีมันก็ต้องไปต่อด้วยเงิน หรือเพราะสมองกับจินตนาการมันไม่ได้ใสปิ้งนิ่งวาวเหมือนตอนวาดภาพออกมาจากใจเป็นครั้งแรกๆ
เพียร์สก็เหมือนศิลปินมากมายที่พอถึงจุดหนึ่งแล้ว “ความสำเร็จที่มีกลายเป็นตัวขัดขวางความสำเร็จเสียเอง” เหมือนคนที่ Burn Out ในการทำงานอะไรประมาณนั้นน่ะครับ
ทางออกที่เขาทำได้ ก็คือพักซะ คลายความกดดันตัวเองลงซะ เปลี่ยนที่นอนซะ ฯลฯ
บางทีความสำเร็จที่ได้ ก็เหมือนก้อนหินน่ะครับ มีไว้เยอะๆ มันก็หนัก ยิ่งมากยิ่งขยับตัวลำบาก
ถ้าจะให้ดีก็ต้องปล่อยๆ วางๆ เอามันออกจากตัวเสียบ้าง
หรือไม่ก็เอาก้อนหินเหล่านั้นมาบดให้ละเอียดซะ แล้วนำไปใช้โรยเพื่อสร้างถนนสู่ความสำเร็จสายใหม่ให้กับตัวเรา
อาจเพราะคิดแบบนี้ ผมเลยชอบฉากช่วง End Credits ครับ… มันชวนให้ผมขบคิดประเด็นเหล่านี้อย่างช้าๆ และรู้สึกว่าฉากที่ว่า มีความหมายไม่น้อยทีเดียว
โดยรวมแล้ว ผมรู้สึกโอเคกับหนังครับ ดูได้เพลินๆ และผมว่ามันก็มีอะไรให้เก็บไปคิดอยู่ไม่น้อย แต่ขณะเดียวกันหากมองในฐานะหนังสยองลึกลับแล้ว มันก็ไม่ได้เจ๋งอะไรมากมาย การเล่าเรื่องก็ออกแนวเรื่อยๆ ไม่ได้ชวนติดตามขนาดนั้น จนผมไม่แปลกใจหากหลายคนจะรู้สึกว่าหนังน่าจะดีกว่านี้
ก็คงต้องแล้วแต่ตัวเราแล้วล่ะครับ ว่าจะลองหรือผ่านไปเลยดี
สองดาวครับ
(6/10)
หมวดหมู่:รีวิวหนัง/ภาพยนตร์, Horror, Mystery