รอบแรกที่ดูเรื่องนี้ในโรง ก็รู้สึกว่าหนังมันดูเพลินดีน่ะนะครับ แต่ด้วยความที่ชื่อผู้กำกับคือ Tim Burton มันทำให้แอบหวังลึกๆ ว่าหนังมันน่าจะเพี้ยนได้อีก เพลินได้อีก และสนุกได้อีก
ครั้นเอามาดูรอบหลังๆ ก็ยังดูเพลินเหมือนเดิม และไม่ได้รู้สึกชอบมากกว่าเดิม แต่กลับบังเกิดความคิดใหม่ขึ้นมาว่า “ถ้าไม่ใช่ป๋า Tim มาทำ หนังอาจสนุกน้อยกว่านี้ก็ได้”
เพราะว่าตามจริงหนังไม่ได้มีอะไรมากครับ อาจมีแง่คิดหรือประเด็นบ้างในเรื่องพลังแห่งความเชื่อมั่น จินตนาการ และการคิดนอกกรอบ (ซึ่งก็มีพอประมาณแค่ช่วงต้นกับสรุปท้าย) แต่โดยหลักแล้วเนื้อเรื่องก็ไม่ได้ซับซ้อนอะไร จุดขายจริงๆ คือชื่อดาราที่ถือว่ารวมดาวฝีมือดีแห่งยุคมาเจอกัน แล้วก็ Special Effect ที่เนรมิตวันเดอร์แลนด์แดนมหัศจรรย์ให้มีชีวิตสมจริงขึ้นมา ซึ่งถ้าว่ากันในจุดนี้ หนังเนรมิตสำเร็จครับ ดูสมจริงและมีชีวิตชีวามากๆ
นั่นล่ะครับ จริงๆ หนังก็เหมือนวาดวิมานขึ้นมาบนแผ่นฟิล์ม (แทนที่จะวาดอากาศ) แต่หนังเรื่องนี้ก็ยังพอดูได้ มีอะไรให้ขำ มีอะไรชวนให้เราจับตาดูไปจนจบ แม้พลังดึงดูดอาจไม่แรงแต่ก็ถือว่าไม่เลว
พอนึกถึงจุดนี้ก็คิดขึ้นมาว่า ก็เพราะอารมณ์ขันเพี้ยนๆ การตีความคาแรคเตอร์แปลกๆ และการเล่าเรื่องสไตล์ป๋า Tim นี่แหละ ที่ทำให้หนังที่ดูเหมือนจะไม่มีอะไรมากเรื่องนี้ ดูแล้วยังให้ความสนุกสนานและบันเทิงเริงใจได้อยู่
สำหรับตัวหนังก็เป็นการจับเอาตำนานอลิซในแดนมหัศจรรย์มายำรวมกันครับ โดยเอา Alice’s Adventures in Wonderland อันเป็นนิยายเล่มแรกมาผนวกเข้ากับ Through the Looking-Glass อันเป็นภาคต่อ (ประพันธ์โดย Lewis Carroll ทั้งคู่) ผลที่ได้ก็ดูเพลินดีครับ เรื่องของเรื่องก็คืออลิซ (Mia Wasikowska) สาวน้อยวัย 19 ที่ชอบฝันถึงดินแดนประหลาดอยู่บ่อยๆ ตั้งแต่เล็กจนปัจจุบัน และในวันที่เธอกำลังจะถูกจับให้แต่งงานกับชายที่ไม่ได้รัก เธอก็เจอกระต่ายลึกลับวิ่งอยู่รอบๆ บริเวณนั้น เลยตามไปดู แล้วในที่สุดเธอก็หลุดไปสู่ดินแดนแฟนตาซีวันเดอร์แลนด์ จากนั้นการผจญภัยเพื่อกอบกู้ความสงบสุขของโลกแห่งนี้ก็เริ่มต้นขึ้น
จุดเด่นจริงๆ ของหนังคืองานด้านเทคนิคครับ ออกแบบได้สวย ดูน่าสนใจ ให้อารมณ์แฟนตาซีแบบสุดๆ การแต่งกายก็เลิศมากครับ ดาราก็ถือว่ามือพระกาฬทุกคน ไม่ว่าจะ Wasikowska, Johnny Depp ในบทแม็ด แฮ็ตเตอร์ ที่เพี้ยนได้ใจ และถ้าไม่ใช่ Depp ก็คงเล่นไม่ได้แบบนี้หรอกครับ, Helena Bonham Carter ภรรยาป๋า Tim ก็มาเป็นเรดควีน ราชินีแดงผู้ไร้จิตใจ ขานี้ก็วาดลีลาได้การ์ตูนจ๋าจนน่าจดจำเหมือนกัน ตามด้วย Anne Hathaway ในบทไวท์ควีนที่ดูลอยๆ ตามสไตล์ราชินีฝ่ายนางเอก และ Crispin Glover มาเป็นสเตนน์ ขุนพลจอมสอพลอข้างกายเรดควีน เจ้านี้ก็เพี้ยนได้ไม่แพ้ใครเช่นกัน
ในใจลึกๆ มันบอกอยู่เสมอครับว่าหนังไม่ได้สนุกขนาดนั้น แต่ถ้าจะบอกว่าไม่สนุกก็ไม่ใช่อีก สรุปก็คือหนังออกมาเพลินๆ อย่างที่ผมบอกย้ำนั่นแหละครับ มันไม่ได้สนุกมากหรือดูตื่นเต้นน่าติดตามมาก แต่ก็จัดว่าดูได้ เพลินไปเรื่อยๆ กับตัวละครแปลกๆ นักแสดงเพี้ยนๆ และฉากล้ำจินตนาการ ดูสวยและได้อารมณ์แฟนตาซีแบบน่าพอใจ ที่ถือว่าคุ้มเงินลงทุนระดับ $200 ล้านน่ะครับ และแอบดีใจกับป๋าแกด้วยที่หนังทำเงินทั่วโลกไปตั้ง $1,000 ล้านเหรียญแน่ะ
จริงๆ หนังก็มีจุดเพี้ยนๆ หรือ “ร่องรอยการคิดต่างสไตล์ป๋า Tim” อยู่บ้างน่ะครับ อย่างบุคลิกของตัวละครแต่ละเจ้าที่มีอะไรเพี้ยนๆ ขำๆ แต่ก็เจือด้วยความเศร้าบางประการ และไม่มีใครดีเต็มร้อย (แม้แต่ไวท์ควีนก็ยังดูลอยๆ เหมือนเมาอะไรสักอย่างมา)
หรืออย่างอลิซเองที่ไม่ได้เป็นนางเอกจ๋า และยังเป็นคนคิดนอกกรอบ ชอบทำอะไรไม่เหมือนผู้หญิงสมัยนั้นที่จำต้องสงบเสงี่ยมเรียบร้อยดั่งผ้าพับไว้ ซึ่งบุคลิกที่มีอะไรขัดแย้งกันในที เหล่านี้ถือเป็นสไตล์ป๋า Tim ที่ยังมีกลิ่นตามมาให้เราได้สัมผัสในเรื่องนี้อยู่ รวมถึงอารมณ์ขันแสบๆ ที่ขยันหยอดเป็นระยะ มานั่งนึกๆ ก็รู้สึกว่า “อะไรเหล่านี้ล่ะมั้ง ที่ทำให้เรายังรู้สึกเพลินอยู่” และ “อะไรเหล่านี้ล่ะมั้ง ที่ชูรสให้หนังยังมีรสอร่อยบ้าง”
สารภาพว่าลึกๆ แล้วคาดหวังอะไรมากกว่านี้จากป๋า Tim แต่พอมานั่งนึกอีกทีก็ไม่รู้จะหวังอะไรไปทำไม เพราะป๋าแกทำมาให้ดูประมาณนี้แล้วน่ะครับ หวังไปก็ผิดหวังเปล่า ดังนั้นป๋าแกทำแบบนี้มา แล้วมันก็ไม่ได้ขี้ริ้วอะไร และถ้าจะว่าไปหนังก็ยังคงเป็นลายเซ็นต์ของป๋า Tim อยู่นั่นแหละครับ เพราะหนังยังมีความเพี้ยน ความเหนือจริง การหลุดออกจากกรอบ (ทั้งตัวหนังและแนวคิดของตัวละคร) และการก้าวข้ามคำว่า “เป็นไปไม่ได้” ซึ่งดูเหมือนว่าคำๆ นี้จะไม่มีอยู่จริงในสไตล์ของป๋าแก พอคิดดังทั้งหมดนี้แล้วก็เลยขอเพลินไปกับหนังของป๋าเรื่องนี้แล้วกันครับ
นี่ถ้าไม่ใช่ป๋า Tim ผมคงไม่ยอมคิดแบบนี้นะเนี่ย 555
สองดาวครึ่งครับ
(7/10)
หมวดหมู่:Adventure, รีวิวหนัง/ภาพยนตร์, Family, Fantasy