ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม (Oscar)

Slumdog Millionaire (2008) สลัมด็อก มิลเลียนแนร์ คำตอบสุดท้าย อยู่ที่หัวใจ

MV5BZmNjZWI3NzktYWI1Mi00OTAyLWJkNTYtMzUwYTFlZDA0Y2UwXkEyXkFqcGdeQXVyNjU0OTQ0OTY@._V1_SY1000_CR0,0,675,1000_AL_

เชื่อไหมครับว่าผมเพิ่งดู Slumdog Millionaire จบเมื่อวานนี้เอง

ไม่ใช่ไม่อยากดูนะครับ ผมน่ะดูตั้งแต่วันแรกๆ ที่หนังมาเลย แต่วันนั้นผมนั่งดูกับแฟน (ที่ปัจจุบันเธอคือภรรยาของผมนั่นเอง) แล้วเธอรู้สึกว่าหนังมันเครียด เธอเลยขอไม่ดู ผมก็เลยหยุดดูตามคำขอ แล้วจากนั้นผมก็ไม่ได้ดูมันอีกเลยตั้งหลายปีล่วงมาแล้ว

… บางครั้งเราก็ต้องทำเพื่อรักน่ะนะครับ ^_^

ครั้นพอหยิบมาดูวันนี้ หนังดีจริงอะไรจริง ดูแล้วเต็มอิ่มทีเดียว ช่วงต้นๆ ของหนังก็ดูเครียดเล็กๆ จริงๆ ล่ะครับ แต่มันน่าติดตามนะ บทหนังเขียนได้ฉลาดมากๆ กับการเอาเหตุการณ์เล่นเกมเศรษฐีของจามาล (Dev Patel) มาเล่าสลับกับอดีตของเขา ซึ่งหนังร้อยเรียงและบอกเล่าเรื่องราวได้อย่างพอเหมาะอย่างยิ่งเลยครับ สนุกมาก ชวนติดตามมาก

โดยรวมแล้วมันคือหนังดราม่าผสมผจญภัย (ในโลกที่โหดร้าย) เข้ากับหนังโรแมนติกแบบพอดีๆ ทุกส่วนผสมกันลงตัว ผลที่ได้เลยเป็นความอร่อยที่ได้สาระแง่คิดพ่วงติดมาด้วย

ผมว่าหนังมันนิยามคำว่า Good Time Bad Time ได้ดีนะ เพราะชีวิตมันคือส่วนผสมระหว่างเรื่องดีๆ กับเรื่องร้ายๆ ซึ่งเราทุกคนล้วนต้องเจอครับ บางวันก็เจอเรื่องดีๆ จนเรายิ้มได้ทั้งวัน แต่บางวันเรื่องดีๆ นั้นอาจถูกพรากไป และทำให้ใจเราเศร้าหมองไปเป็นเดือน… นั่นแหละธรรมดาชีวิต

“ธรรมดาชีวิต” คำนี้ออกแนวสัจธรรมนะครับ… แต่เชื่อเถอะว่ายามหลายๆ คนตกอยู่ในมู้ดเศร้า ถ้าใครมาสัจธรรมใส่ เราก็คงไม่อยากจะฟังหรอก 555

ดังนั้นเราก็ควรสะสมสติให้มากที่สุดในยามปกติ เตรียมใจรับมือทั้งวันดีและวันร้าย ถ้าวันไหนมันดีก็อย่าหลงระเริงและควรเผื่อใจไว้ ไม่ปล่อยใจให้ลอยสูงเกินไป เพราะถ้าวันใดเจอเรื่องร้ายจนใจร่วงหล่น มันก็จะได้ไม่ร่วงจากที่สูงจนเกินไป

ถ้าใจจะเจ็บ ก็จะได้ไม่เจ็บหนัก พักฟื้นไม่ต้องนาน

ชีวิตของจามาลก็น่าติดตามดีล่ะครับ หนังนำพาเราไปเห็นมุมมืดอันหลากหลายของอินเดีย แม้หนังจะไม่ได้ลงลึกถึงมุมมืดเหล่านี้แบบเข้มๆ แต่ก็ทำให้เราสะเทือนได้ในหลายวาระ (และปฏิเสธไม่ได้ว่ามุมมืดเหล่านั้นบ้านเราก็มีเหมือนกันครับ) และมุมมืดทั้งหลายนั่นก็ส่งผลต่อจิตใจคน บางคนก็ถูกหล่อหลอมให้กลายเป็นอันธพาลก็เพราะมุมมืดเหล่านั้นนั่นเอง แต่ขณะเดียวกันก็ยังมีคนอย่างจามาลที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาได้ แม้จะโดนโลกกระทำ แต่ก็ยังพอพยุงตนเองไม่ให้ทำอะไรล้ำเส้นจนเกินไป

การดูหนังชีวิตมันก็ดีอย่างนะครับ มันทำให้เราได้ทบทวนชีวิตตนผ่านการมองตัวละครในหนัง เพราะถ้าเป็นตัวเราน่ะ เราคงไม่ได้มีเวลามานั่งมองภาพชีวิตของเราสักเท่าไรหรอก แต่การดูหนังทำให้เราเห็นชีวิตของตัวละคร ซึ่งหลายๆ ครั้งมันก็สะท้อนบางอย่างมาสู่เรา บางเสี้ยวของชีวิตตัวละครมันเหมือนกับที่เราเคยเผชิญมา การได้เห็นภาพเหล่านั้นก็ช่วยชี้ชวนให้เราย้อนมองสิ่งที่เราเป็น หรือสิ่งที่เรากำลังจะเป็นได้เหมือนกัน

ผมชอบฉากที่จามาลไปเจอตัวละครหนึ่งบนตึกที่กำลังสร้างน่ะนะครับ ได้เห็นเมืองจากมุมสูง เมืองที่กำลังสร้างตึกระฟ้า จากที่แต่ก่อนมันเคยเป็นสลัม ฉากที่ว่านี่สื่อถึงโลกที่หมุนไปเรื่อยๆ ได้ดีเลยครับ

เหมือนเวลาเราไปยังสถานที่ที่เราคุ้นเคยตอนเด็กๆ สมัยนั้นมันก็แบบหนึ่ง แต่ตอนนี้มันเปลี่ยนไปแบบหนึ่ง พอเราเห็นและอยู่ตรงนั้นในโมเมนต์นั้นแล้ว เราจะเกิดความรู้สึกบางอย่างขึ้นมา… อารมณ์นั้นแหละครับ

เรื่องนี้จัดเป็นหนัง Feel Good ที่ไม่ได้ Good เว่อร์จนเกินไป (แม้บางอย่างจะเว่อร์ แต่ก็พอทำใจรับได้น่ะครับ 555) มันมีส่วนผสมพอดีๆ ระหว่างด้านดีและด้านร้ายของชีวิต และแม้หลายๆ อย่างอาจดูประจวบเหมาะไปบ้าง แต่ก็เหมือนที่หนังบอกน่ะครับ บางครั้งมันก็คือสิ่งที่มันต้องเป็น

ทุกสิ่งมีเหตุผลประจวบเหมาะทำให้เรื่องนั้นเกิดหรือเรื่องนั้นไม่เกิด ที่ในหนังใช้คำว่ามันถูกลิขิต

ส่วนผมขอใช้คำว่า อิทัปปัจจยตา (เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงเกิด) ครับ ^_^

เอาเป็นว่าถ้าใครยังไม่ได้ดูก็ดูเลยครับ ส่วนใครดูแล้วจะเอามาดูซ้ำก็ได้ ท่านอาจได้มุมมองอะไรใหม่ๆ เพิ่มเติมก็ได้

สามดาวครับ

Star31

(8/10)