ดู Sherlock Holmes: A Game of Shadows ตั้งแต่วันแรกที่เข้าโรงครับ ก็ชอบนะครับ สนุกเพลินดีตามสไตล์ เป็นการจับเอาโฮล์มส์ (Robert Downey Jr.) กับหมอวัตสัน (Jude Law) มาเผชิญแผนร้ายของ ศจ.มอริอาตี้ (Jared Harris) นโปเลียนแห่งอาชญากรรม ซึ่งแผนของพี่ท่านก็อลังตามคาดครับ
รอบแรกที่ดูผมชอบพอๆ กับภาคแรกครับ มาหลังๆ พอดูซ้ำบ่อยเข้า (ประมาณ 2 เดือนครั้ง) ก็เริ่มรู้สึกว่าภาคแรกลงตัวมากกว่าหน่อย มีลูกล่อลูกชน ส่วนหนึ่งอาจเพราะคดีมันมีความซับซ้อนว่าบวกด้วยปริศนาเหนือธรรมชาตินิดๆ สีสันของเรื่องราวเลยมีให้สัมผัสเยอะ
ในขณะที่ภาค 2 ว่าด้วยการตามเปิดโปงแผนของมอริอาตี้ซึ่งแม้จะทำได้น่าติดตาม แต่ในแง่ความสดใหม่มันไม่มากนัก เลยทำให้เพดานความสนุกของภาค 2 มีขีดจำกัดอยู่พอสมควร
แต่องค์ประกอบอื่นๆ โอเคครับ งานสร้างย้อนยุคไปสู่บ้านเมืองสมัยวิกตอเรียได้ดีเหมือนภาคแรก, ดนตรีของ Hans Zimmer ก็ไว้ใจได้สบาย ลีลากำกับของ Guy Ritchie ก็รักษาระดับภาคแรกไว้ได้แหละครับ ดาราก็คัดมาดีโฮล์มส์กับหมอวัตสันน่ะหายห่วง ส่วนผู้มาใหม่อย่าง Noomi Rapace ก็เอาตัวรอดได้ครับ (เพียงแต่ไม่เด่นนัก), Stephen Fry ก็มาเป็นพี่ชายโฮล์มส์ได้ขโมยซีนดี
สำหรับบทเจมส์ มอริอาตี้ จริงๆ Harris เล่นดีเลยนะครับ เพียงแต่ปมและพล็อตมันไม่ได้ดันให้บทมอริอาตี้ดูขลัง ดูทรงพลัง หรือดูเทพ ในขณะที่บทลอร์ด แบล็ควู้ดในภาคก่อนนั้นดูน่าจดจำกว่า ทั้งที่จริงๆ มอริอาตี้แผนฉลาดล้ำและนำโฮล์มส์ไปได้หลายก้าว แต่หนังก็ยังดันตรงนี้ได้ไม่สุดเท่าไร
อย่างที่บอกครับ โดยรวมหนังสนุก ดูซ้ำได้เรื่อยๆ ดูดาราเล่นกันสนุกๆ ดูพี่โฮล์มส์โชว์ความเก่ง ดูหมอวัตสันไล่เตะโฮล์มส์ (5555) ดูแมรี่ (Kelly Reilly) และคุณนายฮัดสัน (Geraldine James) ส่ายหน้าทุกครั้งที่เจอโฮล์มส์ ดูฉากอลังๆ และการแก้เกมระหว่างโฮล์มส์กับมอริอาตี้ ทั้งหมดนี่ก็ยังทำให้หนังภาคนี้อยู่ในอ้อมอกอ้อมใจได้
หนังมีจุดที่ผมชอบมากอยู่ 3 จุด จุดแรกคือฉากหมอวัตสันแต่งงานครับ ผมว่ามันสวยงามนะ แววตาท่าทางของโฮล์มส์มันบอกอะไรได้ดี เหมือนกับดีใจที่เพื่อนรักได้สมหวัง แต่ขณะเดียวกันก็เป็นเหมือนการโบกมืออำลาแบบกลายๆ
ในใจโฮล์มส์คงคิดว่า “จากนี้ไปคงไม่มีโอกาสได้ผจญภัยกันอีกแล้วนะวัตสัน” ก่อนพี่แกจะจากไปเงียบๆ (อันนี้ทั้งฉบับหนังและทีวีต่างก็ทำออกมางดงามพอกันครับ แสดงว่าทีมงานเห็นตรงกัน ว่าจุดนี้เป็นจุดสำคัญที่มีผลต่ออารมณ์ของโฮล์มส์อย่างมากจริงๆ)
ดนตรีในฉากที่ว่านี่ Zimmer ก็ใส่ลงมาได้พอดีเหลือกิน ทำนองเพลงที่เขาใส่คือทำนองสไตล์หนังรักสมัยเก่าน่ะครับ อารมณ์มันจะอิ่มเอม Happy Ending เป็นช่วงเล็กๆ ที่น่ารักดีครับ
จุดที่ 2 คือบทสุดท้ายของเรื่องราว การเผชิญหน้าระหว่างโฮล์มส์กับมอริอาตี้ที่ไรเคนบาค ฉากนี้เข้าใจคิดมาก ดูมันส์ดูลุ้นโดยไม่ต้องมีแอ็กชันหรือ Effect อะไรมากมาย มันเติมเต็มอะไรบางอย่างสำหรับคนที่เคยอ่าน The Final Problem ได้ไม่เลว
ส่วนจุดที่ 3 (อันนี้ขอเพิ่มพิเศษ) คือฉบับพากย์ไทยครับ พี่จักรกฤษณ์กับพี่ปิยะมาพากย์คู่กันอีกต่อจากภาค 1 สำหรับคนรักหนังพากย์ มันคือ ความฟิน! (ถ้ามีภาค 3 มา ขอความกรุณาพวกพี่กลับมาพากย์อีกนะครับ ได้โปรด พลีสสสส!)
สรุป ณ. ตรงนี้ว่า อยากดูภาคต่อจังเลยครับ
สองดาวสามส่วนสี่ดวงครับ
(7.5/10)
ปล 1. ถ้าถามว่าชอบ Sherlock หนังหรือ Sherlock ทีวีมากกว่ากัน ก็คงตอบยากครับ มันดีคนละอย่าง สนุกไปคนละแบบ แม้จะมีโครงอะไรต่อมิอะไรมาทางเดียวกันก็ตาม เอาเป็นว่าชอบแบบเหมาหมดครับ (แต่ถ้าถามว่าชอบมอริอาตี้คนไหน ก็ตอบแบบไม่ต้องคิดเลยครับว่าฉบับทีวีโดนใจกว่าจริงๆ)
(ถัดไปจากนี้จะสปอยล์ครับ ใครไม่เคยดูอย่าเพิ่งอ่านนะครับ)
ปล 2. ผมว่าการเปิดประเด็นเรื่อง “วิทยาการผ่าตัดเปลี่ยนใบหน้า” สามารถเอามาใช้งานได้ในภาคหน้าแบบสบายๆ เลยครับ โดยเฉพาะสำหรับมอริอาตี้นี่ จะสามารถเปลี่ยนนักแสดงได้ แต่ไม่รู้ทีมงานจะคิดแบบนี้ไหมน่ะนะครับ
หมวดหมู่:Action, Adventure, รีวิวหนัง/ภาพยนตร์, หนังแนะนำ Recommended, Mystery