ภาคต่อของ Bruce Almighty ที่จับเอาตัวละคร อีวาน แบ็กซ์เตอร์ (Steve Carrell) ที่ขโมยซีนไปได้พอตัวในภาคแรกมารับบทนำครับ คราวนี้อีวานได้รับเลือกเป็นวุฒิสมาชิก แล้วเขาก็ตั้งมั่นจะทำงานเพื่อประชาชน อีกทั้งยังอธิษฐานต่อพระเจ้าว่าเขาขอโอกาสที่จะได้ช่วยเปลี่ยนแปลงโลกให้ดีขึ้นอีกสักหน่อยก็ยังดี
แล้วพระเจ้า (Morgan Freeman) ก็ได้ยินครับ เลยเลือกให้อีวานคนนี้ช่วยสร้างเรือโนอาห์ขึ้นมา เพื่อให้เขาได้ลงมือเปลี่ยนโลกจริงๆ ตามที่เขาปรารถนา
แน่นอนว่าใครๆ ล้วนมองว่าอีวานเพี้ยนไปแล้วที่วันๆ เอาแต่ต่อเรือและมีสภาพไม่ต่างจากโนอาห์ที่ผมขาว หนาวยาว (ซึ่งอันนี้เขาไม่ได้ทำครับ แต่พระเจ้าบันดาลมาให้) ผลก็คือคนรอบตัวตั้งแต่ลูกเมียยันลูกน้องก็พากันส่ายหน้าเป็นแถบๆ
แต่ลองว่าพระเจ้าออกปากขอแรงเขา แสดงว่ามันก็ต้องมีเหตุผล มันอาจมีความเป็นไปได้ว่าจะเกิดน้ำท่วมใหญ่ขึ้นมาจริงๆ… ว่าแต่น้ำจะท่วมโลกอีกครั้งเหมือนในตำนานโนอาห์อย่างนั้นหรือ?
ว่าตามจริงแล้ว ภาคนี้ไม่สนุกคล่องคอเท่าภาคแรกครับ แต่ก็ยังพอดูเพลินได้ ด้านความฮาอาจจะไม่เยอะเท่าไร โดยเฉพาะช่วงต้นๆ ที่น้อยจนน่าแปลกใจ จะมาระดมฮามากหน่อยก็ตอนท้ายๆ ซึ่งก็ไม่ได้ฮาเต็มปากเต็มคำเท่าภาคก่อนหรือผลงานเรื่องก่อนๆ ของ Steve Carrell อย่าง The 40 Years Old Virgin และ Get Smart อันนี้ก็ต้องทำใจล่วงหน้าไว้น่ะครับ แม้ทีมงานจะชุดเดิม (ผู้กำกับก็ยังเป็น Tom Shadyac เจ้าเก่า) แต่ความอร่อยไม่เท่าของเก่า ซึ่งก็คงต้องยอมรับว่าในภาคแรกนั้น พลังดาราของ Jim Carrey มีผลต่อหนังเยอะเอาการอยู่
จริงๆ Carrell ก็เล่นได้ดีนะครับ กับคาแรคเตอร์สไตล์ “คนดีคนซื่อ (จนเกือบบื้อ)” ตามแบบฉบับประจำของเขา เพียงแต่บทมันไม่ค่อยมีอะไรผลักดันความเด่นในตัวอีวานให้คนดูสัมผัสเท่าไร เลยทำให้คนดูรักอีวานน้อยกว่าที่ควรจะเป็น
ในขณะที่ดาราสมทบในเรื่อง นอกจาก Freeman ที่ยังแจ๋วในบทพระเจ้าเหมือนเดิมแล้ว คนอื่นๆ ก็เหมือนจะผ่านมาแล้วผ่านไป ไม่ทำให้หนังออกรสมากขึ้นได้ ไม่ว่าจะ John Goodman ในบท วุฒิสมาชิกลอง ที่ท่าทางก็บอกมาแต่ไกลว่าหมอนี่ไม่ใช่นักการเมืองฝ่ายดีแน่ๆ หรือลูกน้อง 3 หน่อของอีวานที่ฮาบ้างวืดบ้างจนน่าแปลกใจว่าไหงหนังมันเบาฮายังไงก็ไม่รู้
แต่ถึงกระนั้น ผมก็ยังชอบหนังนะครับ แม้จะฮาน้อยแต่ก็ยังถือว่าดูเอาสนุก ให้สยองมันเบาได้ในระดับหนึ่ง และอย่างน้อยหนังก็มีจุดน่าพูดถึงในเรื่องประเด็นสาระดีๆ ที่น่าเก็บเอาไปคิด
พล็อตในภาคนี้สื่อกับคนดูโดยตรงครับ สื่อให้คนดูระลึกถึงสิ่งที่เราอาจจะลืมเลือนไปแล้ว ซึ่งก็คือ สายใยอันเหนียวแน่นระหว่างคนกับธรรมชาติ ว่าจริงๆ แล้วทุกสิ่งในโลกก็ล้วนอยู่ร่วมกัน อิงอาศัยต่อกัน มนุษย์มีผลต่อสัตว์โลกทั้งหลาย ขณะเดียวกันสัตว์โลกและธรรมชาติยิ่งมีความสำคัญต่อมนุษย์แบบสุดๆ เพราะถ้าว่าตามจริงแล้วต่อให้มนุษย์สูญพันธุ์โลกก็ยังหมุนต่อได้ สิ่งมีชีวิตอื่นก็ยังดำรงต่อไปได้
แต่หากสัตว์สูญพันธุ์ไป และธรรมชาติถูกทำลายจนไม่เหลือเมื่อใด มนุษย์นี่แหละครับที่จะต้องอยู่อย่างลำบากที่สุด (หรืออาจอยู่ไม่ได้เลยด้วยซ้ำ)
ประเด็นเรื่องเรือโนอาห์ที่เป็นพล็อตหลักของเรื่องก็ชี้ชวนให้คิดนะครับ สำหรับตำนานการสร้างเรือนั้น หลายคนอาจสนใจไปที่อภินิหาร คำทำนาย หรือตั้งคำถามว่ามันคือเรื่องจริงหรือไม่ แต่ผมว่านั่นไม่สำคัญเท่ากับคำถามว่า สาระแห่งตำนานนี้ได้สอนอะไรให้กับมนุษย์?
ปริศนาสาระในเรื่องเรือโนอาห์และน้ำท่วมโลก คือ การบอกให้มนุษย์ตระหนักถึงบทบาทที่สำคัญมากๆ ของตนเอง อาจกล่าวได้ว่าธรรมชาติ (หรือพระเจ้า) สร้างมนุษย์ขึ้นมานั้น ไม่ใช่เพื่อให้ครองโลกหรือเพื่อดำรงตำแหน่งอยู่เหนือสิ่งใดๆ แต่เพื่อให้เราช่วยดูแลโลก รักษาโลก ถนอมสิ่งต่างๆ บนโลกให้คงอยู่และเจริญพัฒนาไปให้ได้มากที่สุด
พูดง่ายๆ คือ มนุษย์ควรช่วยให้โลกวิวัฒน์ ไม่ใช่นำให้โลกวิบัติ
โนอาห์และครอบครัวตามตำนานนั้น ก็คือตัวแทนมนุษย์นั่นแหละครับ ตัวแทนเผ่าพันธุ์ที่สร้างอะไรได้มากมาย ทำอะไรได้หลายอย่าง เป็นได้ทั้งผู้สร้างและทำลาย และเมื่อถึงวันที่โลกเกิดวิกฤติ ก็มีมนุษย์นี่แหละที่จะทำอะไรสักอย่างเพื่อช่วยสัตว์อื่นให้รอดพ้นจากภัยไปได้ เพราะสัตว์น้อยใหญ่หรือต้นไม้ทั้งหลายไม่อาจสร้างเรือหรือประดิษฐ์เครื่องมือแห่งทางรอดได้ มีเพียงคนที่มีสมองและสองมือที่จะนำพาสรรพสิ่งให้รอด
สัตว์มากมายที่รอดมาได้ในเหตุการณ์น้ำท่วม ก็เพราะความพยายามมุ่งมั่นของโนอาห์และครอบครัวไม่ใช่หรือ
ลองคิดสิครับว่าถ้ามนุษย์หันมาทุ่มเทดูแลธรรมชาติ รักษาพันธุ์สัตว์ เอาความสามารถที่มีมาใช้ในทางสร้างสรรค์แล้วโลกจะดีขึ้นเพียงไหน อย่างการโคลนก็สามารถเอาสัตว์สูญพันธุ์ (ที่สูญไปเพราะเรานะครับ ไดโนเสาร์ไม่ต้องก็ได้) นำพวกเขากลับมา เอาความรู้มาช่วยปรับระดับความสมดุลย์ของโลกให้เข้าใกล้ของเดิมที่สุด เพื่อหาทางหยุดวิกฤติธรรมชาติที่อาจเกิดขึ้น
มองมาที่ปัจจุบัน เราเห็นพระเจ้า (หรือธรรมชาติ) ลงสัญญาณกระแอมไอมาหลายครั้งแล้ว ไม่ว่าจะภาวะเรือนกระจก น้ำท่วมทั้งใหญ่และเล็ก คลื่นซึนามิพัดกระหน่ำ ภูเขาไฟระเบิด เปลือกโลกเคลื่อนตัวจนเกิดแผ่นดินไหว หรือน้ำแข็งขั้วโลกละลายทำให้ปริมาณน้ำในโลกเริ่มเสียสมดุลย์ ซึ่งที่มันเป็นเช่นนั้นส่วนหนึ่งก็ด้วยการกระทำของมนุษย์ ที่ผ่านมาเรารู้แล้วว่าการกระทำแบบไหนที่ผิด การกระทำแบบไหนที่ทำลายโลก ตอนนี้ก็คงได้เวลาสำหรับการทำสิ่งที่ถูกแล้วล่ะครับ
ในเชิงเปรียบ ก็คงถือว่า ได้เวลาที่มนุษย์ทุกคนต้องสวมบทโนอาห์ช่วยนำพาโลกและสัตว์ทั้งหลายให้รอดพ้นภัยกันได้แล้ว
ปริศนาสาระในตำนานโนอาห์ที่หนังชี้ชวนให้คิดก็ยังมีอีก อย่างเช่นว่า ทำไมสัตว์ที่ขึ้นเรือถึงต้องมาเป็นคู่? หลายคนอาจคิดว่าเพื่อจะได้สิบพันธุ์ดำรงชีวิตต่อไปไงล่ะ แต่ความหมายที่ลึกไปกว่านั้น คือการสื่อความถึง “การมีกันและกัน แม้ในวันวิกฤติ”
หากเปรียบน้ำท่วมใหญ่เป็นปัญหายักษ์ที่ถาโถมเข้ามา แล้วเปรียบเรือว่าเป็นเครื่องนำพาเราฝ่าปัญหาออกไป ตำนานนี้แอบสอนให้เราตระหนักว่า หากจะฝ่าปัญหาออกไป ก็ควรไปด้วยกัน ร่วมใจกัน ชวยเหลือกัน ไม่ใช่ตัวใครตัวมันหรือเอาเพียงตัวฉันรอดเท่านั้น
เพราะยิ่งปัญหาใหญ่เท่าไร กำลังเพียงหนึ่งแรงอาจสู้ไม่ไหว ต้องใช้อย่างน้อยสองขึ้นไปถึงจะสัมฤทธิ์
นอกจากประเด็นนี้ก็ยังมีสาระแทรกเป็นยาดำ อย่างคำพูดของพระเจ้าที่ว่า “การเปลี่ยนโลกทำได้ง่ายๆ แค่เราเมตตาต่อชีวิตอื่นให้มากขึ้น”
นั่นล่ะครับ ง่ายจริงๆ ทำได้ตลอดเวลา ถ้าอยากเปลี่ยนโลก เรายังไม่ต้องคิดใหญ่ทำใหญ่ก็ได้ เอาแค่เรื่องง่ายๆ นี่แหละ เริ่มจากตัวเรา จากนั้นค่อยๆ ปลูกฝังลงในเด็กแต่ละคนให้สำเร็จ แค่นี้ก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่สุดยอดแล้ว
หรือตอนที่ภรรยาของอีวานตัดสินใจพาลูกไปอยู่ที่อื่น เนื่องจากทนพฤติกรรมพิสดารของอีวานไม่ไหว พระเจ้าก็แวะเข้ามาพูดสะกิดใจตอนที่เธอระบายว่าเธอรับเรื่องพวกนี้ไม่ไหวจริงๆ และสิ่งที่เธอแอบอธิษฐานต่อพระเจ้าก็คือ เธอแค่อยากให้ครอบครัวมีความอบอุ่น มีความใกล้ชิดเข้าใจกัน แต่ทำไมเรื่องถึงกลายเป็นแบบนี้ เธอมีคำถามในใจว่าทำไมพระเจ้าถึงไม่ให้ในสิ่งที่เธอขอ
พระเจ้าเลยบอกว่า “ลองมองในมุมนี้สิ ยามที่เราอธิษฐานต่อพระเจ้าว่าขอให้ข้ามีความอดทน พระเจ้าประทานความอดทนให้หรือเปล่า? หรือพระเจ้าประทานโอกาสให้เราได้ฝึกความอดทน… ถ้าเราขอความกล้าต่อพระเจ้า พระเจ้าจะให้ความกล้ากับเรามาโดยตรง หรือจะให้โอกาสในการเสริมสร้างความกล้า หรือในกรณีที่ครอบครัวมีปัญหา แล้วเราขอความอบอุ่น พระเจ้าจะประทานความอบอุ่นให้ทันที หรือจะมอบโอกาสที่ทำให้คนในครอบครัว ได้มีเวลาสร้างความอบอุ่นใกล้ชิดต่อกัน”
เรื่องนี้จะมองเป็นประเด็นศาสนาก็ได้ครับ แต่ผมมองว่ามันเป็นมุมในการมองเรื่องต่างๆ ของโลก ในวันที่เราเจอปัญหา เราจะมองว่าชีวิตนี้ช่างมืดมน หรือมองว่าสถานการณ์ทั้งหลายมีไว้เพื่อให้เราเรียนรู้ที่จะเดินไปหาแสงสว่าง
เมื่อถึงวันครอบครัวมีปัญหา เราจะยอมแพ้หรือมองว่าปัญหานี่แหละคือโอกาสที่จะทำให้ครอบครัวสนิทแน่นแฟ้นกันมากขึ้น
ไม่ว่าคุณจะนับถือศาสนาอะไร แต่หากคุณเจอปัญหา แล้วร้องขอปาฏิหาริย์ ขออะไรก็ตามที่จะมาช่วยเราให้พ้นจากปัญหา ขอให้มองที่มือตนเอง มองชีวิตที่ยังมี เรานี่แหละคือสุดยอดแห่งกุญแจไขปัญหาทั้งปวง พระเจ้า ธรรมชาติ หรืออะไรก็ตามได้มอบทางออกให้เรามาตั้งแต่เกิด ซึ่งมันอยู่ที่เรานั่นเองที่จะใช้งานมันเป็นไหม จะมองเห็นประโยชน์ของมันไหม
พระเครื่อง ของขลัง หรือพรใดก็ไม่ศักดิ์สิทธิ์เท่าตัวเรา หากเราลืมที่จะเชื่อมั่นในพลังตนเองแล้ว ชีวิตเราจะไปได้ไกลสักแค่ไหนกัน
เรามักมองสิ่งนอกกายว่านั่นก็อัศจรรย์ นี่ก็พิเศษ แต่เราลืมไปหรือเปล่าว่าเรานี่แหละคือสิ่งมหัศจรรย์อย่างหนึ่งของโลก เราพูดได้ เราเดินได้ เราประดิษฐ์ได้ เราคิดได้ เราเพิ่มพลังสมองได้ เราเพิ่มพลังร่างกายได้ เราช่วยตนเองและคนอื่นได้ เราโอบอุ้มสัตว์อื่นและธรรมชาติได้ เราสำรวจทำความเข้าใจสรรพสิ่งได้… ผมว่าเราก็พิเศษไม่แพ้สิ่งอัศจรรย์อื่นใดเลยนะครับ
Evan Almighty อาจไม่ใช่หนังตลกที่ฮาแบบได้ผล แต่มีสาระให้คนเก็บไปคิดได้เยอะเหมือนกัน ก็เหมาะจะลองดูแบบไม่คิดมากครับ ส่วนผมนั้นก็โอเคกับหนัง และออกจะชอบบทสรุปกับชอบการที่พวกดารามาเต้นๆ กันใน End Credits ด้วย
สองดาวครับ
(6/10)
หมวดหมู่:รีวิวหนัง/ภาพยนตร์, Comedy, Family, Fantasy