จำได้ว่า Lone Survivor เป็นหนังที่ผมผัดผ่อนในการดูนานมากๆ ไม่ใช่คิดว่าหนังไม่ดีนะครับ คือมันรู้น่ะว่าหนังดีแน่ แต่อารมณ์ช่วงนั้นยังไม่อยากดูหนังกดดันสักเท่าไร

ครั้นพอดูแล้วก็ไม่กังขาในความดีครับ แล้วระหว่างดูก็รู้สึกกดดันสมดังคาดไว้จริงๆ

หนังสร้างจากเค้าโครงเรื่องจริงของทีมซีลที่ถูกส่งไปจับตัว/ลอบสังหารอาเหม็ด ชาห์ ผู้นำกลุ่มตาลีบัน แต่เมื่อทุกอย่างไม่เป็นไปตามแผน พวกเขาเลยต้องพบกับอันตรายอย่างใหญ่หลวง

ช่วงต้นหนังก็ออกจะเรื่อยๆ หน่อยครับ ตามสูตรหนังแนวนี้ที่ต้องมีการปูพื้นแนะนำตัวละคร ซึ่งก็ปูอยู่นานครับ เรียกว่ากว่าจะเข้าปฏิบัติการจริงๆ ก็ปาไปครึ่งเรื่อง แต่ผลที่ได้นับว่าดีเลยครับสำหรับการปูพื้น เพราะหนังทำให้เรารู้จักกับแต่ละคนในทีมซีลได้ในระดับหนึ่ง เราได้เห็นนิสัยและคาแรคเตอร์เบื้องต้น ซึ่งก็จะส่งผลอย่างยิ่งต่อความน่าเชื่อถือของหนังในเหตุการณ์ช่วงต่อมา ยามที่พวกเขาต้องเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย และตัดสินใจทำอะไรต่างๆ ลงไปเพื่อทำให้ภารกิจบรรลุ หรือไม่ก็เพื่อให้เพื่อนคนอื่นๆ ในทีมสามารถรอดชีวิตกลับไปให้มากที่สุด

พอมาถึงครึ่งหลังหนังก็ลุ้นตลอดครับ สมาชิกแต่ละคนก็ต้องหาทางเอาตัวรอดจากดงกระสุนของฝ่ายตรงข้าม ซึ่งความลุ้นที่ว่าก็ลากยาวไปจนหนังจบครับ มีอะไรให้ติดตามไปตลอดจริงๆ แม้ตอนท้ายๆ จะมีช่วงพักบ้างก็เถอะ แต่มันก็เป็นการพักแบบ “กรุ่นทางอารมณ์” คือดูๆ ไปก็แอบเกร็งตลอดว่าจะเกิดเรื่องร้ายขึ้นอีกเมื่อไร

ดาราที่มาแสดงก็ถือว่าเป็นมือดีครับ ไม่ว่าจะ Mark Wahlberg, Taylor Kitsch (X-Men Origins: Wolverine), Emile Hirsch (Into the Wild), Ben Foster (Pandorum) และ Eric Bana (Munich) ทุกคนสวมวิญญาณซีลที่พร้อมยอมตายเพื่อภารกิจหรือเพื่อชาติได้อย่างน่าเชื่อ

ส่วนหน้าที่กำกับก็ตกเป็นของ Peter Berg อดีตนักแสดงที่หันไปเอาดีทางงานหลังกล้อง ซึ่งเขาก็ถือเป็นผู้กำกับที่ทำหนังแนวกดดัน หรือสงคราม หรือแอ็กชันที่ฝีมือดีคนหนึ่ง ไม่ว่าจะ The Rundown, The Kingdom และ Battleship โดยผมมองว่าเรื่อง Lone Survivor นี้คืองานที่ดีที่สุดของเขาก็ว่าได้ครับ เพราะมันพอเหมาะลงตัว เข้มข้นและตื่นเต้น ครบเครื่องทั้งดราม่าและแอ็กชัน

โดยส่วนตัวผมชอบเรื่องราวในช่วงหลังๆ ครับ โดยเฉพาะสิ่งที่มาร์คัส (Wahlberg) ได้ไปพบเจอ มันเป็นสิ่งที่สื่อได้ง่ายมากๆ ว่าคนเรามีหลายแบบ กระทั่งคนตะวันออกกลางก็มีทั้งดีและไม่ดี ไม่ต่างจากคนในทุกชาติที่มีทั้งดีและไม่ดีผสมปนเปกันไป ซึ่งก็รู้สึกสลดใจเหมือนกันครับที่เพราะความเชื่อบางประการที่เป็นเสมือนกำแพงกั้น ทำให้มนุษย์ด้วยกันต้องมาเข่นฆ่ากันอยู่เรื่อยๆ

อยากให้กำแพงเหล่านั้นมันลดปริมาณลงหรือไม่ก็ให้มันสลายไปเลยก็น่าจะดี ^_^

ถือเป็นหนังแอ็กชันกลางสนามรบที่ทำออกมาได้น่าติดตามครับ เข้มข้น ตื่นเต้น และถ่ายทอดภาพเสี้ยวหนึ่งของความโหดร้ายที่เกิดจากสงครามได้อย่างถึงอารมณ์ทีเดียว

สองดาวสามส่วนสี่ดวงครับ

(7.5/10)