ครองตำแหน่งชื่อตอนยาวยืด พิสดารที่สุด และยังมีประเด็นดีๆ อัดแน่นไม่แพ้ภาคสอง
ภาคนี้บุญชูเรียนปี 4 ใกล้จบเต็มที และลุงกับป้าก็ฝากลูกชายที่ชื่อ ทองดี (จักรกฤษณ์ อำมรัตน์) ที่เรียนเก่งเรียนดี สอบติดเกษตรหมาดๆ ให้บุญชูช่วยดูแล ส่วนเรื่องวุ่นๆ ทั้งหลายก็มีชนวนมาจาก ลลิตา (รัญญา ศิยานนท์) หญิงเก่งนักเรียนนอกที่โมลีขอแรงให้มาช่วยงานในบริษัทโฆษณา แล้วคุณเธอก็มาโปรยเสน่ห์ ทำเอาผองเพื่อนของบุญชูแตกคอกัน ส่วนทองดีก็ตกหลุมรักแม่สาวแรงสูงคนนี้เข้าด้วย แหม อีแบบนี้มันจะลงเอยด้วยดีไหมเนี่ย
ผมชอบหนังภาคนี้มาก รองจากภาคสองเลยล่ะครับ เพราะมันมีเนื้อหาสาระดีๆ ถึงสี่ประเด็นใหญ่ๆ ด้วยกัน มาว่ากันทีละอันเลยนะครับ
อันแรกคือ เรื่องของผู้หญิงแบบลลิตาครับ ที่เป็นผู้หญิงสมัยใหม่หัวนอก สนุกกับการปั่นหัวผู้ชายเล่น แล้วก็ทำทุกอย่างเพื่อความสำเร็จจนไม่สนว่าใครจะเดือดร้อนบ้าง ดูเป็นสาวร้ายแบบอาบน้ำผึ้ง ใช่ครับเธอคือตัวร้ายแบบเต็มๆ ประจำตอน ซึงไม่แปลกหรอกครับถ้าคนส่วนใหญ่จะพากันมองว่าเธอน่ารังเกียจ แต่ผมเองก็ลองมองอีกมุมนะครับ พบว่าเธอค่อนข้างสงสารนะ
คิดดูสิครับว่าผู้หญิงสวย สมองดี การงานก็ดี จริงๆ หากเธอเลือกชีวิตที่ถูก เช่นคบใครสักคน มีคนดีเคียงข้างไปตลอดชีวิต หรือหากจะเลือกอยู่คนเดียวเป็น Single Lady ไปเลยก็ไม่มีปัญหา แต่เลือกกลับเลือกที่จะไม่จริงใจกับใคร โกยแต่ผลประโยชน์ไปวันๆ แบบนี้บทสรุปก็หนีไม่พ้นความเหงาล่ะครับ ต้องอยู่แบบนั้นไปเรื่อยๆ… ผมถึงรู้สึกสงสารไงล่ะครับ
ส่วนทองดีก็เหมือนบุญชูสมัยก่อนล่ะครับ มาในเมืองกรุงทีก็ตื่นแสงสี เจอสาวงามก็อดชอบไม่ได้ แต่ทองดีโชคร้ายกว่าบุญชูหน่อย เพราะลลิตาไม่ใช่สาวซื่อน่ารักอย่างคุณโม ทำเอาเกือบเสียการเรียนเหมือนกันถ้าไม่มีพวกบุญชูช่วยเตือนสติล่ะก็สงสัยชีวิตดิ่งลงเหวแน่ๆ
บทสรุปของทองดีและลลิตา ก็ไม่เลวนะครับ ในที่สุดสาวชอบปั่นหัวหนุ่มก็ถูกความจริงใจของผู้ชายซื่อๆ เอาชนะเข้าจนได้ คำพูดสุดท้ายที่ลลิตาก่อนจากไปนั้น ฟังแล้วรู้สึกดีครับ เพราะนั่นเป็นคำพูดเดียวของเธอที่จริงใจที่สุดแล้ว ลองไปดูกันนะครับ มันเตือนสติชายหญิงที่เอาแต่โกหกหลอกลวงไม่รักใครจริงได้ดีทีเดียว
ประเด็นต่อมาก็เรื่องความรักระหว่างบุญชูกับโมลีที่มาถึงทางแยกจนได้ เพราะเมื่อบุญชูจบปี 4 ก็ต้องกลับไปพัฒนาบ้านเกิด แบบนี้ก็คงไม่ได้เจอโมลีบ่อยๆ อีกแล้ว เขากับโมก็เลยคุยกันอย่างตรงไปตรงมา คนดูจะได้รู้สึกที่ว่าที่จริงแล้วคุณโมคิดอย่างไร (ส่วนบุญชูน่ะไม่ต้องบอกก็รู้ครับ พี่แกใส่เกียร์ห้าเตรียมเข้าหาคุณโมอยู่แล้ว) จนนำมาสู่ฉากง่ายๆ ที่ทำให้แฟนๆ บุญชูลุ้นได้เล็กๆ เหมือนกัน
ประเด็นที่สามคือการสะท้อนสังคมเมือง ซึ่งก็เป็นปกติของหนังชุดนี้อยู่แล้วล่ะครับ เป็นเหมือนบันทึกสังคมกรุงเทพ ที่มีชาวต่างจังหวัดหลั่งไหลเข้ามาทำงานกันจนล้น ในคราวแรกบุญชูก็เกือบจะสมัครทำงานในเมืองเหมือนกัน แต่พอได้เห็นภาพคนเบียดเสียดพากันมาสมัครงาน ก็รู้สึกหดหู่ สู้กลับไปทำงานที่บ้านเกิดกับแม่ดีกว่า
จุดนี้เหมือนสื่อกับคนดูให้คิดตามเหมือนกัน ว่าถึงเวลาหรือยังที่จะกระจายรายได้ กระจายความเจริญไปให้ทั่ว คนจะได้ไม่ต้องมาแย่งกันผิดหวังในเมืองอีก (สมัยนี้ดีหน่อยที่คนกลับไปทำงานที่บ้านเกิดมากขึ้น ดีไม่ดีผมว่ามีโอกาสได้งานมากกว่าในกรุงอีกนะ)
ประเด็นที่สี่ ท้ายสุด แต่สำคัญยิ่ง เพราะเป็นการสานต่อหัวใจหลักแห่งเรื่องราวบุญชูตั้งแต่ภาคแรก นั่นคือการที่หนุ่มน้อยจากสุพรรณคนดีคนนี้เดินทางเข้ามาเรียนถึงมหาวิทยาลัยในกรุงเทพก็เพื่อเอาใบปริญญานั้นก็เพื่อกลับมาช่วยแม่ทำงานที่บ้านเกิด อันนำมาสู่ฉากเด็ดที่เฉลยความในใจของแม่บุญล้อม (ป้าจุ๊ จุรี โอศิริ) ว่าแม่แก่ๆ คนนี้ภาวนาอยู่ทุกวันว่าบุญชูจะกลับมาไหม เพราะหากลูกตัดสินใจอยู่เมืองกรุง แม่เองก็ไม่รู้จะทำอะไรต่อเหมือนกัน… ฉากที่ว่านี่ก็เล่นเอาน้ำตาซึมไปไม่น้อยเลยล่ะครับ
จุดนี้ก็ทำให้เรานึกถึงพ่อแม่ที่บ้านเหมือนกันนะครับ ท่านส่งเรามาก็เพื่อเรียน เพื่อสร้างโอกาส อนาคต และความก้าวหน้า แล้วเราล่ะ ตอนเรียนนั้นเต็มที่แค่ไหน และพอเรียนจบ เราเลือกที่จะตอบแทนท่านมากน้อยแค่ไหน…
แล้วเมื่อทราบเรื่องนี้เข้าบุญชูยิ่งยืนยันว่ายังไงก็จะกลับมาบ้าน เพื่อแม่และเพื่อชาวบ้าน
ลองว่าใจงาม คิดถึงคนอื่น คิดดีทำดีแบบนี้ ถ้าคุณโมไม่ชอบก็แปลกล่ะครับ ขนาดผู้ชมอย่างผมยังชอบเลย
บุญชูภาคนี้ยังทำหน้าที่เป็นบันทึกความเป็นไปของบ้านเมืองได้อย่างยอดเยี่ยม ครบเครื่องทั้งเรื่องฮาและแง่คิด เรียกได้ว่าเด็ดเป็นรองจากภาคสองเท่านั้นเอง (แพ้นิดๆ ตรงอารมณ์และความลึกซึ้งที่ภาคสองกินขาดกว่า)
ภาคนี้โกยไป 23.5 ล้าน ออกฉายปี 2534 โดยรวมก็ฮาแตกขั้นเทพ ทีมงานและดาราก็ต้องยกนิ้วครับ ชุดเดิมก็มืออาชีพ ดาราหน้าใหม่ที่มาร่วมขบวนได้แก่คุณรัญญาที่แสดงได้เฉียบมาก หลานคนยกให้เป็นนางร้ายหนังไทยที่ดีที่สุด เพราะเธอร้ายจริงแต่ไม่เกินจริง ซ้ำยังมีสมองด้วย
ส่วนคุณจักรกฤษณ์ก็มาซื่อได้เนียนมาก ดูแล้วนึกถึงบุญชูตอนภาคแรก ลักษณะคล้ายกัน น่ารักแบบ ตจว และที่ช่วยให้หนังอร่อยขึ้นคือดนตรีครับ คงไม่ต้องย้ำว่าใครทำ เอาเป็นว่าเพลงที่เปิดตอนหนุ่มๆ เพ้อถึงความรักนั่น สื่อถึงความรักแบบหลงใหลได้ยอดโคตรๆ ได้อารมณ์หวาน ล่องลอยดีแท้ๆ และที่เหนืออื่นใดคือ ให้อารมณ์ท่วงทำนองแบบไทยร่วมสมัย เฮ่อ … มันอิ่มใจจัง
สนุกมาก ฮามาก ฉากอลหม่านก็มีตั้งสี่รอบจุใจกันไปเลย ล่าสุดผมเอามาดูอีกรอบครับ จำกัดความได้สั้นๆ ว่า หนังไทย รสไทย ดีแบบไทยๆ ถ้าคุณเป็นคนไทย … ยังไงก็อยากให้ดูครับ อยากน้อยภาคสองและภาคหก นะจ้ะ
สามดาวจ้า
(8/10)