รีวิวหนัง/ภาพยนตร์

Miss Sloane (2016) มิสสโลน เธอโลกทึ่ง

17971990_1595789470451848_8162609155489999033_o

หนังจับเอาอีกมุมของโลกการเมืองมานำเสนอครับ นั่นคือโลกของ ล็อบบี้ยิสต์ (Lobbyist) ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จมากมายในโลกแห่งการเมืองอันแสนซับซ้อน

ล็อบบี้ยิสต์เป็นเหมือนนักสร้างภาพครับ มีหน้าที่สร้างกระแสและสร้างโอกาสเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับผู้ว่าจ้าง ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองหรือนักธุรกิจต่างๆ

ตัวอย่างเช่น หากบริษัทผู้ผลิตอาวุธปืนต้องการให้ร่างกฎหมายเกี่ยวกับการพกพาอาวุธปืนผ่านการโหวต (จุดประสงค์ก็เพื่อให้สามารถขายปืนได้มากขึ้นนั่นเอง) พวกเขาก็อาจจะว่าจ้าง “ล็อบบี้ยิสต์” ให้ช่วยสร้างกระแสอะไรสักอย่างที่จะทำให้ประชาชนส่วนหนึ่ง “เห็นด้วย” กับการพกพาอาวุธปืน

เพราะหากกระแสประชาชนมีพลังมากพอ มันก็จะส่งผลไปถึงเหล่านักการเมืองครับ ประมาณว่าถ้าประชาชนอยากได้อะไรมากๆ นักการเมืองก็ต้องจัดให้เพื่อความมั่นคงทางเก้าอี้ และการทำอะไรถูกใจประชาชนก็ทำให้พวกเขามีโอกาสได้รับเลือกอีกในสมัยต่อไป

หรืออีกนัยหนึ่ง การที่ประชาชนในสังคมเห็นด้วยมากๆ แล้วหากการโหวตร่างกฎหมายผ่าน ก็จะไม่มีกระแสต่อต้านตามมาในภายหลัง ดังนั้นยิ่งกระแสสังคมมีมากเท่าไร ก็จะทำให้โอกาสในการโหวตผ่านร่างกฎหมายมีความเป็นไปได้มากขึ้นและสะดวกมากขึ้นเท่านั้น

นอกจากนี้ “ล็อบบี้ยิสต์” ยังเป็นนักประสานประโยชน์ พวกเขาจะมีเครือข่ายคอนเนคชั่นไว้เนรมิตให้โครงการแต่ละอันสัมฤทธิ์ผลโดยง่าย ตัวอย่างเช่นกรณีผ่านร่างกฎหมายอาวุธปืนนี้ นอกจากพวกเขาต้องสร้างกระแสแล้ว พวกเขาก็ต้องดอดไปพบกับผู้มีอำนาจต่างๆ ไม่ว่าจะนักการเมือง, นักธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เพื่อเสนอผลประโยชน์ให้

ประมาณว่า ถ้าพวกคุณช่วยให้กฎหมายนี้ผ่าน คุณก็จะได้สิ่งนั้นสิ่งนี้ (บ้าน, รถ, ที่ดิน, หุ้น และอื่นๆ อีกมากมาย) ว่าง่ายๆ คือไปติดสินบนนั่นแหละครับ เพียงแต่เจ้าตัวต้นเรื่องไม่ได้เป็นคนไปเสนอสินบนเอง ดังนั้นหากเกิดการสืบสวนขึ้นมา ทั้งเจ้าตัวผู้ว่าจ้างล็อบบี้ยิสต์และเหล่านักการเมืองที่ถูกล็อบบี้ยิสต์ดอดไปติดต่อ ก็จะสามารถปฏิเสธได้แบบเต็มปากเต็มคำ (เพราะผู้ผลิตปืนไม่ได้มาพบกับนักการเมืองจริงๆ สักหน่อย… แค่มีคนคอยประสานให้เท่านั้น…)

อาชีพล็อบบี้ยิสต์จึงมีความสำคัญมากในโลกการเมืองครับ บอกได้เลยว่าหลายๆ กระแสที่เกิดขึ้นในสังคมโลก (แน่นอนว่ารวมถึงบ้านเราด้วย) ก็เกิดจากพลังความสามารถในปั่นกระแสของเหล่าล็อบบี้ยิสต์นั่นเอง… คุณหรือผมก็อาจเคยตกเป็น “เครื่องมือ” ของพวกเขาโดยไม่รู้ตัวก็ได้

ตัวเอกของเรื่องคือ อลิซาเบธ สโลน (Jessica Chastain) ล็อบบี้ยิสต์ระดับเทพที่ใครๆ ก็ต้องการตัว แต่งานล่าสุดที่มีผู้ผลิตปืนมาว่าจ่าง เธอกลับไม่สะดวกใจที่จะทำให้ ประมาณว่าเธอก็ไม่เห็นด้วยกับการที่กฎหมายจะอนุญาตให้พกปืนได้ง่ายขึ้นน่ะครับ

เธอเลยลาออกแล้วไปอยู่กับบริษัทอื่นแทน (ซึ่งที่แห่งใหม่นั่น งานของเธอคือค้านกฎหมายอาวุธปืนที่ว่า) และนั่นล่ะครับคือจุดเริ่มของการขับเคี่ยวระหว่างเธอกับอดีตเพื่อนร่วมงานที่ต่างก็ต้องชิงชัยเพื่อให้ฝ่ายตนได้รับผลประโยชน์สูงสุดให้จงได้

ตัวหนังถือว่าต่างจากที่ผมคิดไปพอสมควร คือตอนแรกผมนึกว่าหนังจะเน้นเรื่องการทำงานของล็อบบี้ยิสต์แบบวิเคราะห์เจาะลึก ให้เราเห็นเหลี่ยมคู การวางหมาก หรือการวิเคราะห์ต่อสู้กันแบบถึงพริกถึงขิง (ในนี่นึกไปถึง Hanzawa Naoki เลย) ในขณะที่หนังจริงๆ นั้นก็มีสิ่งเหล่านี้ครับ แต่ไม่ได้เข้มข้นจัดๆ หรือลึกซึ้งสุดๆ ดังที่คาดไว้

หลายหมากที่ตัวละครเดินก็เดาได้ไม่ยากครับ บางหมากก็ดูเป็น “มุกในหนัง” มากๆ โดยเฉพาะมุกตอนไคลแม็กซ์ที่จริงๆ ก็ไม่เลวล่ะครับ แต่พอหนังเล่นมุกนี้มันเลยทำให้หนังดูเป็นหนังมากขึ้น ไม่ได้ก่อให้เกิดความรู้สึกว่ามันดู “จริง” และมันดูจะลดทอนความขลังบางอย่างของหนังลงไปเล็กน้อย

ที่บอกนี้ไม่ได้แปลว่าหนังไม่ดีนะครับ จริงๆ หนังทำออกมาได้น่าพอใจทีเดียว แต่ความเข้มข้น ความลึก และการเฉือนคมอาจไม่ถึงกับมากแบบเต็มขั้น จนพอเข้าใจเลยครับว่าทำไมกระแสหลังหนังออกฉายถึงค่อนข้างนิ่ง ทั้งๆ ที่ตอนก่อนฉายและตอนปล่อยตัวอย่างออกมานั้นกระแสค่อนข้างดีทีเดียว ถึงขนาดหลายคนเก็งกันเลยว่า Chastain อาจจะได้ชิงออสการ์อีกรอบในหนนี้

Chastain นั้นก็ยังเล่นได้ดีเหมือนเดิมครับ เธอดูเก่ง แกร่ง และจัดจ้านตามสไตล์ของเธอ (ในแง่การแสดงแล้วผมว่า Chastain ทำให้นึกถึง Cate Blanchett เอามากๆ พวกเธอเก่งเหมือนกันและมักจะรับบทเข้มๆ แบบนี้เหมือนกัน) ถ้าว่าในแง่การแสดง เธอก็ทำเต็มที่น่ะครับ เธอสื่ออารมณ์ตอนมุ่งมั่น, ตอนเหลิง, ตอนเหนื่อย, ตอนท้อ และ “ตอนล้ำเส้น” ออกมาได้ดีจริงๆ

เพียงแต่บทของสโลนยังไม่หลากมิติเท่าไร ซึ่งจริงๆ ผมว่า Chastain เธอเล่นได้ล่ะครับ แต่ตัวบทเองไม่ได้ลงลึกแง่มุมต่างๆ มากเท่าที่ควร แต่หากมองแบบไม่คิดมากแล้ว หนังก็ถือว่าทำได้ดีแล้วล่ะครับ เพียงแต่หากจะทำให้ดีขึ้นอีก ลึกขึ้นอีก เข้มขึ้นอีกก็ได้อยู่

ส่วนหนึ่งคงเพราะมือเขียนบทเป็นหน้าใหม่ในวงการครับ เรื่องนี้เขียนบทโดย Jonathan Perera ที่เขียนเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกเลย โดยก่อนหน้านี้เขาไม่เคยมีประสบการณ์เรื่องเขียนบทมาก่อนครับ เขาเป็นครูแล้วก็เคยฝึกงานด้านกฎหมายมาก่อน และบทหนังเรื่องนี้ก็ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นในความคิดของเขาระหว่างการทำงานเหล่านั้น (โดยตัวมิสสโลนนั้น มีหลายๆ สิ่งที่อิงจากแม่ของ Perera เอง)

จริงๆ ตอนแรกเขาไม่ได้คิดจะส่งบทภาพยนตร์เรื่องนี้ไปให้ใครเลยครับ แค่เขียนแล้วก็เก็บไว้ในคอม แต่พอดีเขาได้ไปเจอข่าวว่าบริษัท Weinstein กำลังอยากได้บทหนังเกี่ยวกับหญิงแกร่งที่กล้าท้าอำนาจในวงการการเมือง เขาก็เลยลองส่งบทนี้ไป แล้วก็ได้ทำเป็นหนังในเวลาต่อมา

ซึ่งหากมองในฐานะมือใหม่แล้ว ก็ต้องเอ่ยชมล่ะครับ เพราะองค์ประกอบของเรื่องราว ประเด็นที่เอามาเล่น และการเล่าเรื่องถือว่าทำได้ดีเลยล่ะครับสำหรับบทหนังชิ้นแรก (จนไม่แปลกใจเลยว่าทำไม Steven Spielberg ถึงเคยเอ่ยปากว่าเขาชอบบทหนังเรื่องนี้มากจนอยากกำกับเองเลย)

แต่ก็อดคิดไม่ได้ครับว่าถ้าบทแบบนี้ได้รับการเกลาเพิ่มโดยมือเขียนบทเก๋าๆ หนังน่าจะมีรายละเอียดและความมันส์ในเชิงเนื้อหามากขึ้น เพราะจริงๆ หนังเรื่องนี้เอา “โลกของการสร้างกระแส” มาเปิดเผย ซึ่งถือว่าเป็นอะไรที่สดใหม่และน่าค้นหาอยู่เหมือนกัน

พูดตรงๆ คือ ไม่ค่อยมีหนังเรื่องไหนเอาประเด็นว่า “เราทุกคนกำลังโดนชักใยโดยคนบางกลุ่มอยู่นะจ๊ะ” มาเล่นแบบชัดๆ และเต็มๆ น่ะครับ มันจึงยังมีพื้นที่ให้เล่นได้อีกเยอะ หรืออีกนัยหนึ่งคือ มันยังมีหน้ากากให้เราฉีก มันยังมีเบื้องลึกเบื้องหลังให้เราขุดค้นอีกเยอะ

หนังกำกับโดย John Madden (Shakespeare in Love, The Best Exotic Marigold Hotel และ The Debt) ซึ่งก็คุมหนังได้ไม่เลวครับ แต่พอนึกถึงตรงนี้แล้วก็เลยยังพูดได้ไม่เต็มปากว่าการที่หนังยังไม่สุดนั้น เป็นเพราะบทยังไม่เข้มหรือการกำกับยังไม่ลึก

เพราะจะว่าไป Madden ก็ไม่ค่อยได้ทำหนังแนวการเมืองสักเท่าไร (ที่เคยทำก็คือ The Debt) ดังนั้นการนำเสนอในเรื่องมันเลยไม่สุดๆ มันมีกลิ่นทริลเลอร์แต่ก็ยังไม่เกิดบรรยากาศมาคุแบบเต็มๆ ขณะเดียวกันก็มีกลิ่นหนังดราม่าการเมือง แต่ก็ยังไม่เข้มในแง่ “สะท้อนสังคม” หรือ “จิกกัดการเมือง”

ถ้าหากพูดถึงหนังแนวสะท้อนการเมืองมันส์ๆ ในใจผมก็ยังยกให้ JFK, Thirteen Days และ The Ides of March อยู่ครับ หนังเหล่านั้นเล่าได้มันส์ เอาประเด็นมาเขย่าได้สะใจดี ในขณะที่เรื่องนี้หนังมีประเด็นตั้งต้นที่ดีครับ แต่พอเล่าๆ ไปหนังก็เทน้ำหนักไปเน้นที่การพยายามเอาชนะระหว่างสโลนกับคู่แข่ง มากกว่าจะกระเทาะปมสังคมการเมือง

กระนั้นก็ถือเป็นหนังที่คอหนังทริลเลอร์การเมืองน่าจะสนุกในการรับชมครับ จริงๆ ดูแค่การแสดงของ Chastain ก็คุ้มแล้วล่ะ และแม้หนังจะไม่ได้จัดเต็มในประเด็นต่างๆ แต่ก็เป็นหนังที่เหมาะมากแก่การรับชมเพื่อทำความเข้าใจอาชีพ “ล็อบบี้ยิสต์” อีกทั้งทำความเข้าใจปัจจัยของ “กระแสต่างๆ” ในสังคมและการเมือง ว่าบางครั้งมันก็เกิดกระแสเพราะมีคนปั่นและกำหนดทิศทางให้เป็นไปเพื่อประโยชน์ของคนบางกลุ่มนั่นแหละ

ดูกันเพื่อเข้าใจและรู้เท่าทันโลกครับ เพราะคนบางกลุ่มก็ได้ประโยชน์อย่างมหาศาลจากกระแสและความเชื่อของประชาชนอย่างเราๆ นี่แหละ (ประโยชน์ที่ว่าไม่ใช่แค่บาทสองบาทหรือล้านสองล้านแน่นอนครับ… มันมากกว่านั้นเยอะ) ^_^

สองดาวครึ่งบวกๆ ครับ

Star22

(7.5/10)