ขอออกตัวก่อนครับว่าไม่ใช่แฟนหนัง The Hangover ภาคแรกดูแล้วก็โอเคแต่ก็ไม่ได้ปลื้มมาก ภาค 2 ออกแนวดูได้สนุกดี ครั้นมาภาค 3 ก็รู้สึกดูได้เรื่อยๆ แต่ก็ไม่ได้ติดใจอะไร
ไม่รู้เพราะไม่ค่อยได้ “แฮงค์” หรือเปล่า เลยไม่ค่อยอินไปกับเขาด้วย
ครั้งนี้ 3 หนุ่มก๊วนวูล์ฟแพ็ค (Bradley Cooper, Zach Galifianakis และ Ed Helms) ไม่ได้แฮงค์ครับ แต่เจอ “ผลลัพธ์จากการแฮงค์ของตนเอง” โดยมีเจ้าพ่อนามว่ามาร์แชล (John Goodman) เอาปืนมาจ่อแล้วสั่งให้พวกเขาไปตามตัวไอ้คุณเชา (Ken Jeong) พร้อมทองที่พี่แกขโมยไปกลับมา นั่นล่ะครับเรื่องหลักๆ ของภาคนี้
Todd Phillips ยังคงมากำกับปิดไตรภาค โดยได้ดาราหน้าเดิมมากันครบ นอกจาก 3 หนุ่มแล้วและไอ้คุณเชาแล้ว ก็ยังมี Justin Bartha ในบทดั๊ก ที่เล่นกี่ภาคก็ไม่เคยได้ไปร่วมผจญภัยกับเขาสักที, Heather Graham และ Mike Epps จากภาคแรกก็มารับบทเดิม, Jeffrey Tambor กลับมารับบทพ่อของอลัน รวมถึง Jamie Chung จากภาคก่อนก็กลับมาแบบรับเชิญเล็กๆ
ภาคนี้มันก็คือหนังตลกแบบตกกระไดพลอยโจนน่ะครับ พวกพระเอกต้องมาล่าไอ้คุณเชา แล้วก็ทำอะไรที่ไม่อยากทำอีกเยอะแยะเพื่อหาทางรอดจากสถานการณ์นี้ไปให้ได้ แต่ถ้าว่าตามจริง แม้ผมจะชอบภาคแรก (แบบไม่เยอะ) และภาคสองก็ดูได้ (แบบพอเพลิน) ครั้นมาภาค 3 นี่ถือว่าสนุกไม่มาก ลูกเล่นอะไรต่างๆ ไม่เยอะ ว่าง่ายๆ คือขนาดผมไม่ได้ชอบหนังชุดนี้มากมาย แต่การดูภาค 3 นี่ก็ทำให้ผมรู้สึกได้ว่า 2 ภาคแรกมันดูโอเคขึ้นมาอีกพอสมควรทีเดียว
ไหนๆ ก็ภาคจบแล้วน่ะนะครับ ขอสารภาพเลยว่าผมนั้นออกจะรำคาญพี่อลัน (Galifianakis) อยู่พอตัว เพราะพี่แกนี่ตัวก่อเรื่องทุกที มาภาคนี้นี่ยังก่อเรื่องได้เรื่อยๆ แม้ในบางช่วงพี่แกจะเป็นคนช่วยทำให้สถานการณ์ดีขึ้นก็เถอะ แต่เอาเข้าจริงถ้ามองย้อนไปแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะพี่แก ชาวบ้านก็คงไม่ต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากอีแบบนี้หรอก
จริงๆ โดยธีมแล้ว ภาคนี้เหมือนจะให้ตัวอลันนั้นได้มีความเปลี่ยนแปลงนะครับ รู้จักเรียนรู้ที่จะรับผิดชอบตัวเองและเติบโตเป็นผู้ใหญ่ แต่ก็อย่างที่เดาได้น่ะครับ อันว่าประเด็นที่จะเป็นสาระก็มักจะถูกนำเสนอแบบผิวๆ เสมอในหนังที่เน้นความฮาและความตลกเพี้ยนๆ แบบนี้
หนังชุดนี้จริงๆ ดูแบบสอนใจน่ะได้เลยนะครับ สาระที่น่าเก็บไปคิดคือ “เวลาจะสนุกน่ะได้ แต่ควรมีขอบเขต” เพราะความสนุกที่เกินขีดหลุดเขตไป มักจะลากจูงเราล่วงล้ำเข้าไปสู่เขตแดนแห่งความลำบากหรืออันตรายได้
อีกอย่างคือพอดูหนังเรื่องนี้แล้วย้อนดูชีวิตตนเอง ก็รู้สึกว่าเราโชคดีเป็นหนักหนา เพราะเวลาจะสนุกกับเพื่อนแต่ละที เราก็แค่ไปเที่ยวกัน ไปหาเรื่องคุย ไปกินอาหารกัน ทำอะไรก็ได้โดยห่างไกลจากเหล้า ยา หรืออาการแฮงค์ แต่มันก็สุขได้ แล้วที่ำสำคัญคือสามารถเก็บช่วงเวลาเหล่านั้นมาเป็นความทรงจำได้ ระลึกถึงทีไรก็สนุกทุกที จำได้ทุกนาทีแห่งความประทับใจ ยิ่งนึกถึงก็ยิ่งคิดถึง
ที่จริงช่วงเวลาของความสุขและความหย่อนใจของแต่ละคนมันไม่เหมือนกันหรอกครับ บางคนต้องมีเหล้านิดๆ เบียร์หน่อยๆ ติดปลายให้ได้บรรยากาศ ซึ่งมันก็ทำได้ครับ แต่ก็ต้องตระหนักว่าถ้าเราจิบ “ไอ้นิดๆ หน่อยๆ” ไปหลายก๊งเกินลิมิตเมื่อไรล่ะก็ นอกจากเราจะเพิ่มโอกาสให้ตัวเองลำบากแล้ว ยังเป็นการเพิ่มโอกาสให้คนอื่นได้รับอันตรายจากเราอีกต่างหาก
ยามพักผ่อนหย่อนใจนั้น เราสร้างความสุขให้ตัวเองได้ตามอัตภาพ แต่ถ้าเราทำอะไรให้คนอื่นทุกข์ระหว่างนั้นล่ะก็ ความรับผิดชอบบางประการก็จะเกิดแก่เราเช่นกัน
แม้จะไม่ได้ชอบหรือปลื้มหนังชุดนี้เป็นพิเศษ แต่ก็รู้สึกขอบคุณเมื่อดูจบครบไตรภาค… ขอบคุณที่ทำให้ผมรู้สึกดีกับวิธีพักผ่อนง่ายๆ ที่ผมกับก๊วนของผมเป็นอยู่เสมอๆ
จริงๆ ในอนาคตก็น่าเก็บหนังชุดนี้ให้ลูกหลานดูเน้อะ… อยากรู้ว่าดูแล้วพวกเขาจะคิดกับอะไรต่างๆ ที่เกิดขึ้นยังไง
สองดาวครับ
(6/10)
หมวดหมู่:รีวิวหนัง/ภาพยนตร์, Comedy