โดราเอมอน ตอน ผจญภัยไดโนเสาร์ คือภาคพิเศษตอนแรกสุดที่สร้างออกมาเมื่อปี 1980 หรือ พ.ศ. 2523 ครับ
ตอนเด็กๆ ดูแล้วก็ชอบนะครับ จริงๆ คือขอให้เป็นพี่ม่อนกับพรรคพวกล่ะผมก็พร้อมจะชอบอยู่แล้ว จะตอนยาวตอนสั้นก็เถอะ
จำได้ว่าตอนยังเด็กนั้น มันแสนจะตื่นเต้นยามได้ดูพี่ม่อนตอนพิเศษ เพราะหายากนะครับ ม้วนวีดีโอตามร้านก็ไม่ค่อยมี (ไม่โดนซื้อไปเก็บก็โดนยืมแบบไม่คืน) ส่วนผมได้ดูภาคนี้หนแรกตอนช่อง 9 เอามาฉายครับ ดีใจมาก และฟินมากๆ ทีเดียว
พอโตขึ้นเอามาดูใหม่ ความชอบมันไม่ลดลงเลยครับ แม้ลายเส้นจะไม่ทันสมัย แม้ภาพจะไม่ HD แต่มันรู้สึกสนุก รู้สึกเหมือนได้ย้อนไปในวัยเด็กอีกครั้ง มันเป็นการหย่อนใจที่สุขอย่างประหลาดจริงๆ
และสำหรับผมแล้ว ผมว่าผมสัมผัสถึงสาระดีๆ ของภาคนี้ได้มากขึ้น คือพอดูดีๆ แล้ว ก็คิดขึ้นมาว่า นี่ถือเป็นครั้งแรกก็ว่าได้ ที่โนบิตะมุ่งมั่นทำอะไรแบบจริงจัง เนื้อเรื่องมันประมาณว่าโนบิตะไปท้าพนันกับไจแอนท์และซูเนโอะเรื่องกระดูกไดโนเสาร์ พอพนันปุ๊บก็คิดจะไปขอให้โดราเอมอนช่วย แต่งานนี้ม่อนไม่ช่วย บอกว่าลองทำอะไรเองบ้าง
ปรากฏว่าโนบิตะไปเอาขุดหนังสือเกี่ยวกับไดโนเสาร์มาอ่าน มาค้นข้อมูลจนม่อนเองก็ยังแอบปลื้มใจ
หลังจากนั้นโนบิตะก็ไปขุดหวังว่าจะเจอกระดูกไดโนเสาร์ แต่ดันไปเจอไข่เลยครับ และด้วยพลังแห่งผ้าคลุมกาลเวลาทำให้ไข่กลับมามีชีวิตอีกหน โนบิตะเลยฟูมฟักจนมันออกมาเป็นตัว เขาก็ตั้งชื่อให้มันว่า พีซูเกะ
แน่นอนว่าโนบิตะมีความสุขในการเลี้ยงพีซูเกะครับ แต่ปัญหาคือมันตัวโตขึ้นเรื่อยๆ ซ้ำยังมีคนเริ่มเห็น และที่ร้ายกว่านั้นคือมีนักล่าจากศตวรรษที่ 23 หวังจะชิงตัวพีซูเกะไปอีก โนบิตะเลยตัดสินใจพาพีซูเกะย้อนเวลาไปอดีต หวังให้มันอยู่ในที่ของมัน แต่ที่ไหนได้ นั่นกลับเป็นจุดเริ่มแห่งการผจญภัยครั้งใหญ่ของโนบิตะและผองเพื่อน
ถ้าผมเป็นพี่ม่อนผมจะดีใจมากเลยนะครับ เพราะงานนี้ตั้งแต่ต้นจนจบโนบิตะเป็นคนตัดสินใจว่าจะทำหรือไม่ทำอะไรตลอดทั้งเรื่อง ซ้ำตอนไจแอนท์ขึ้นเสียง โนบิตะยังกล้าลุกขึ้นมาเถียงอีกต่างหาก (ตอนอยู่กลางป่าในโลกดึกดำบรรพ์น่ะครับ) เรียกว่าโนบิตะเด่นทีเดียวครับ และไม่ได้เด่นในแง่สร้างปัญหาด้วย (แม้ตอนแรกพี่แกจะหาเรื่องใส่ตัวก็เถอะ 555)
อีกจุดที่ผมชอบคือการวางพล็อตครับ เนื้อเรื่องมันเดินไปข้างหน้าแบบเกี่ยวเนื่องกัน เป็นเหตุเป็นผลเดินต่อเนื่องกันไป เช่นว่า พีซูเกะโตขึ้น > โนบิตะเลยต้องพาไปอยู่ข้างนอก > นักล่าเลยเห็น > โนบิตะเลยพาหนี > นักล่าไล่ยิงไทม์ แมนชีน จนเครื่องขัดข้อง > ส่งพีซูเกะผิดที่ ฯลฯ เนี่ยครับ ทั้งเรื่องมันกลมกลืนกัน ส่งผลลูกโซ่กันตั้งแต่ต้นจนจบ (ว่าง่ายๆ แทบไม่หลุดไปนอกเรื่องอะไรเลย กระทั่งตอนพวกโนบิตะเล่นสนุกในโลกดึกดำบรรพ์ ก็ยังมีเหตุผลให้เป็นเช่นนั้น)
และที่ชอบยิ่งขึ้นคือ “มุขหักมุมส่งท้าย” อันเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของโดราเอมอนภาคพิเศษ คือพอถึงตอนท้าย ตอนที่พี่ม่อนกับพวกจะไม่ไหวแล้ว จะแพ้แล้ว แย่แล้ว มันต้องมีอะไรสักอย่างโผล่มาช่วย แต่สิ่งที่โผล่มาช่วยนั้นมันไม่ใช่จู่ๆ ก็โผล่มาดื้อๆ แต่มันคืออะไรก็ตามที่หนังเกริ่นไว้แบบเนียนๆ เกริ่นแบบไม่เน้น ให้เราพอจำได้แต่ไม่คิดว่ามันจะสำคัญ และพอถึงเวลาปุ๊บ ตูม!
ผมไม่รู้นะครับว่าท่านอื่นจะรู้สึกอย่างไรกับมุขแบบนี้ แต่สำหรับผม นี่คือเสน่ห์มากๆ (ตอนนี้มุขหักมุมอาจไม่อะไรมากครับ แต่ตอนที่ผมชอบสุดชีวิตคือตอน “บุกแดนมหัศจรรย์” กับมุข “คำทำนายมนุษย์ 10 คนจากโลกภายนอก” นี่… คิดได้ไง!)
และฉากหนึ่งที่ผมรู้สึกว่ามีความหมายมากเมื่อดูตอนโต คือตอนที่พวกโนบิตะนั่งกินหมี่รอบกองไฟ แล้วก็คุยกันเรื่องประวัติศาสตร์ กาลเวลา บรรพบุรุษ ก่อนจะลงเอยด้วยการแหงนหน้ามองดาวบนฟ้า ท่ามกลางอารมณ์พิศวงในความลึกลับอันไร้ขีดจำกัดความธรรมชาติและจักรวาล…
จะมีสักกี่เรื่องที่ทำออกมาให้เราดูเมื่อยามเด็ก แต่แอบซ่อนอะไรบางอย่างไว้ในฉากธรรมดาๆ ให้เราค้นหาค้นเจอเมื่อโตขึ้น…
… นี่แหละครับ เสน่ห์การ์ตูนในดวงใจที่กี่ปีผ่านไป ผมก็ยังรักไม่เสื่อมคลาย
ภาคนี้ฉายครั้งแรกที่ญี่ปุ่น ปีพ.ศ. 2523 (1980) ทำเงินไป 1,550 ล้านเยน (หรือ 11.9 ล้านดอลลาร์) และได้เข้าฉายในบ้านเราในปี 2525 ทำเงินไป 2 ล้านบาท ซึ่งถือว่าไม่น้อยสำหรับสมัยนั้น
สองดาวครึ่งครับ
(7/10)
หมวดหมู่:Adventure, Animation/Cartoon, รีวิวหนัง/ภาพยนตร์, Comedy, Sci-Fi