เผอิญผมซื้อมาครบก็เลยเอามานั่งดูต่อๆ กันไปเลยน่ะนะครับ
คราวนี้เป็นเรื่องของตำนานกระจกไทจิ เรื่องมีอยู่ว่า ไทจิเป็นเด็กที่อ่อนแอ อยู่โดดเดี่ยวเพียงลำพัง จนเสียชีวิตไป และพลังของเขาก็กลับมาในรูปของกระจกไทจิ อันเป็นประตูไปสู่มิติปีศาจ แล้วกระจกที่ว่าก็ดันไปตั้งอยู่ในโรงเรียนแห่งหนึ่งพอดี แล้วก็มีเด็กๆ ไปป้วนเปี้ยนหน้ากระจกพอดี ก็โดนดูดเข้าไปพอดี และก็เจอผีอีกเพียบตามสูตรพอดี
ดูท่าผมจะชินซะแล้วล่ะมั้งครับ ดู 3 ภาคต่อๆ กัน จับทางได้แล้วว่ามันเป็นเรื่องแนวผจญภัยสำหรับเด็ก เลยทำใจรับได้เป็นที่เรียบร้อย รวมถึงสามารถสนุกตามไปด้วยได้ จะว่าไปหนังมันก็ไม่ได้มันส์เท่าภาค 2 หรอกคับ แต่โดยรวมๆ หักกลบลบแล้วคะแนนก็ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลย ส่วนที่ยังโดดเด่นคือเรื่องของตัวละครแนวดราม่านี่แหละฮะ คราวนี้หนังมีปมดีๆ เพียบ ตั้งแต่ เรียว ตัวเอกของเรื่องที่อยู่กับแม่ 2 คนมานานปี แล้วจู่ๆ แม่ของเขาก็จะแต่งงานใหม่ ได้พ่อใหม่มายังไม่พอครับ ยังได้น้องจอมแสบอีกสองตัว พอเขาเจอแบบนี้เลยรับไม่ได้จนต้องวิ่งหนีออกจากบ้านกลางดึกนั่นเลย
เรื่องทำนองนี้ผมพอจะเข้าใจครับ เด็กเจอเรื่องแบบนี้ไม่เจ็บ ไม่รู้สึกก็แปลกแล้ว มิหนำซ้ำน้องใหม่ 2 ตัวนั่นก็ร้ายบริสุทธิ์จริงๆ แต่เรื่องนี้ผมก็ลองคิดอีกมุมนึงนะครับ ผมว่า น้องใหม่ 2 ตัวนี่ก็คงมีความรู้สึกปั่นป่วนไม่แตกต่างจากเรียวหรอก ทำให้แสดงออกมาเป็นความแสบแบบที่เห็นนั่น และอีกอย่างพ่อใหม่คนนี้จริงๆ แล้วเป็นคนดีนะครับ เขาพยายามปรับตัวเขากับลูกใหม่อย่างเต็มที่ ดูเป็นพ่อที่น่ารักด้วยซ้ำไป เอาแค่ฉากที่เขาสวมผ้ากันเปื้อนทำอาหารเพื่อที่จะทำให้เรียวประทับใจก็รู้สึกได้ครับว่าเขาจริงใจแค่ไหน แต่ผลกลับออกมาเป็นอีกแบบนั่น ผมก็อึ้งแล้วล่ะ เพราะฉากที่ว่านั้นได้อารมณ์เหลือเกิน ไม่ว่าจะพ่อ แม่ เรียว หรือไอ้น้องจอมแสบพวกนั้นต่างแสดงได้ถึงมากๆ ทีเดียว (เหมาะจะเอาไปวิเคราะห์ในวิชาจิต – พัฒนาการอยู่เหมือนกัน)
ยังมีเรื่องของไทจิอีก อย่างที่รู้กันว่าเขาเป็นเด็กอ่อนแอ แต่อยากลงแข่งกีฬา ทว่าสุขภาพไม่อำนวยน่ะสิครับ เขาเลยตายไปพร้อมปัญหาคาใจจนเป็นเรื่องขึ้นมา ในจุดนี้หนังมีตัวละครเอามาเปรียบเทียบนะครับ นั่นคือตัวคุณครูสาว (จำชื่อไม่ได้อ้ะคับ) คือ ครูคนเนี้ยเมื่อก่อนเธอก็เป็นเด็กอ่อนแอเหมือนกับไทจิล่ะครับ แต่เธอไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตาครับ เลยฟิตตัว สุดท้ายเธอก็กลายมาเป็นนักมวยครับ (แม่งโคตรจะฟิตเลยเจ๊) อันนี้ก็เหมือนเป็นการสอนเด็กๆ ไปในตัวเลยครับ ว่าลองว่าเรามีความพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง เช่น อยากจะบึ้กขึ้น, เรียนเก่งขึ้น หรือเรื่องลดความอ้วนก็ตาม ลองว่าตั้งใจจริงแล้วทำไมจะทำไม่ได้ล่ะฮะ ผมก็ยอมรับเลยนะว่าในส่วนของดราม่าและแง่คิดนี่มีเกินความคาดหมายผมไปหลายขีดเลยแหละ
ส่วนเรื่องความตื่นเต้นน่ากลัวก็ไม่ได้มากหรือน้อยไปกว่าภาคแรกล่ะครับ ซึ่งจะไปเน้นตรงการผจญภัยมากกว่า Effect โอน่ะ แต่ช่วงท้ายทำได้ไม่เลวครับ ดูแล้วต้องยกความเป็นเจ้าแห่งจินตนาการให้พี่ยุ่นเลยล่ะ คือ ฉากมันไม่ได้อลังการอะไรนะคับ แต่การจะวาดออกมาให้ได้เป็นอย่างในหนังนั้นไม่ใช่แค่คิดวิสองวิแล้วจะออกมาเลยซะเมื่อไหร่กันเล่า มือต้องถึงครับมันจึงจะได้อารมณ์
นักแสดงก็ดีครับ มี Aki Maeda นางเอกจาก Battle Royale มาเล่นเป็นนางเอกเรื่องนี้ ในเรื่องเธอยังเด็กอยู่เลยครับ แต่น่ารักโคตรๆ (ฮุๆๆๆๆ หื่นเด็กครับผม รับรองป๋าชอบแน่นอน) อีกคนที่ขโมยซีนกวนทีนกำลังเหมาะก็คือเจ้าน้องชายคนใหม่ของเรียวนั่นแหละครับ ที่เอะอะก็อ้างหลักวิทยาศาสตร์ตลอดดูแล้วนึกถึงซูเนโอะเลยครับ ก็เป็นสีสันได้ดีน่ะ
จากการดูหนังมา 3 ภาคติดๆ เนี่ยนะครับ ผมรู้สึกว่าทางญี่ปุ่นเขา มี Concept ในการมองเรื่องผีที่น่าสนใจไม่น้อย เช่น ผีกับวิญญาณนั้นจะต่างกันนะครับ ผีมันจะเป็นแนวปีศาจ มีความดุร้าย แต่วิญญาณนั้นจะเป็นคนที่ตายไปทั้งๆ ที่มีห่วงและมีเรื่องคาใจ คร่าวๆ ก็คือเขามองว่า ผี (ผมเรียกรวมๆ นะคับ) มีทั้งดีและร้าย ก็ถือเป็นการมองหลายมุมดี นอกจากนี้ยังมีอีกเรื่อง คือตลอดหนังท้ง 3 ตอนที่ผ่านมานั้น ช่วงต้นของทุกภาคจะต้องมีเด็กหญิงชุดแดงผู้ลึกลับมาปลุกอาถรรพ์ให้ตื่นขึ้นทุกทีไป ตรงนี้ใครเป็นคอเรื่องลึกลับของญี่ปุ่น เช่น ติดตามหนังสืออย่างพวก กึกกึ๋ยส์ต่างๆ คงจำได้ว่าเด็กหญิงมักจะเป็นสัญลักษณ์การปรากฎของภูตผีปีศาจ เพราะผีมักจะมาในรูปลักษณ์นี้ค่อนข้างบ่อยทีเดียว Concept เรื่องผีๆ สไตล์ญี่ปุ่นนี่ค่อนข้างครบถ้วนดีในระดับหนึ่งเลยล่ะครับ
จึงไม่น่าแปลกใจที่บ้านเราจะเห็นว่ามันเป็นเรื่องตลก ก็เหมือนให้คนญี่ปุ่นมาฟังเรื่องกระหังนั่นแหละฮะ เขาก็ต้องเห็นว่าเป็นเรื่องฮาเหมือนกันน่ะแหละ
หายากนะครับ ตามปกติแล้วถ้าผมดูหนังภาคต่อเมื่อไหร่ล่ะก็ ส่วนมากตอนแรกจะดีสุด แล้วภาคต่อมาก็จะสนุกน้อยลงมาเรื่อยๆ แต่งวดนี้แปลก ภาคแรกอ่อนสุด ภาค 2 – 3 ดันมันส์ขึ้นเรื่อยๆ จุดสำคัญที่ดันให้หนังเจ๋งก็เพราะบทที่ใส่ใจในเนื้อหาตัวละครนี่แหละครับ ผมว่าเรื่องนี้สำคัญนะ ใครว่าไงผมไม่ทราบ แต่สำหรับผม การจะสร้างอารมณ์ร่วมให้เกิดขึ้นในหนังมันต้องพึ่งเรื่องนี้ ยิ่งไปกว่านั้น หนังที่มีตัวละครมากแต่ยังสามารถแจกแจงรายละเอียดให้คนดูจดจำได้เนี่ย ต้องชมผู้กำกับเลยนะครับ เพราะถ้ามือไม่ถึงนี่แป๊กเลยแหงมๆ (และเรื่องนี้เองที่หนังฟอร์มยักษ์ฮอลลีวู้ดมักจะสอบไม่ผ่านซักที)
เรื่องนี้ผมชมเยอะหน่อย แต่ก็อย่างว่าน่ะครับ หนังสยองหรือผจญภัยตัวละครมักถูกลืมประจำ ทีมงานส่วนมากจะไปเน้นตรงฉากผจญภัยครับ หรือไม่ก็ใส่ Effect กระหน่ำมันเข้าไป นับว่ามีอยุ่น้อยเรื่องครับที่จะเข้าท่าทั้งการผจญภัยและไม่ทิ้งตัวละครแบบนี้
เอ่อ แต่ถ้าจะดูเอาความน่ากลัว คงด่าแหลกน่ะคับ มันหนังเด็กอ้ะ แต่ถ้าทำใจเป็นหนังผจญภัยแบบญี่ปุ่นผมเชื่อว่าน่าจะบันเทิงได้เต็มๆ แถมสาระอีกตะหาก รวมไปถึงเพลงในช่วง End Credits ที่เพราะดีมาก ทำนองนี้รับกับตอนจบของหนังได้เป็นอย่างดีมันประมาณว่าเพิ่งเสร็จจากการผจญภัยมา และทุกคนก็ได้เข้ามากัน จบอย่างแฮปปี้และเพลงก็ขึ้นมาพอดี จังหวะครบเลยครับทั้งสนุก+ผจญภัย+มิตรภาพ จะหาว่าผมคิดไปเองก็ได้ครับ แต่มันคิดงี้จริงๆ อ้ะ จะให้ดกหกตัวเองในเรื่องนี้ก็ไม่ใช่ผมน่ะสิ
จริงๆ แล้วผมเคยดูช่วง 30 นาทีสุดท้ายของหนังมาแล้วนะครับ ตอนช่อง 7 เอามาฉาย ตอนนั้นเบื่อโคตรครับ ติงต๊องอ้ะ หนังไรฟะ แต่พอมาดูเต็มๆ (ตั้งแต่ต้นเรื่องที่มีการปูพื้น) ก็เป็นอย่างที่เห็นนี่แหละครับ ผิดคาดจริงๆ และ Aki Maeda น่ารักโคตรๆ พี่น้องเอ๋ย 555
คงไม่สรุปแล้วครับ อ่านมาขนาดนี้ผมชอบเพราะอะไรน่าจะรู้แล้ว (ไม่ใช่เพราะ Aki อย่างเดียวหรอกครับ) บทดี ตัวละครดี นักแสดงดี ปูพื้นดี
ตกลงก็คือต้องสองดาวครึ่งกว่าๆ บวกๆ ถึงจะดีครับ
(7.5/10)