Legally Blonde ถือเป็นหนังตลกแหว๋วๆ ที่ผมชอบแบบพลิกความคาดหมายเลยครับ ตอนแรกก็นึกว่าจะฮาๆ เบาๆ ไม่มีอะไรมาก แต่ที่ไหนได้หนังมีพร้อมทั้งความฮาแบบน่ารัก และสาระดีๆ ที่ “คนมีความรัก” น่าเก็บไปไตร่ตรอง
เรื่องเริ่มเมื่อแอล วู้ดส์ (Reese Witherspoon) สาวบลอนด์จอมดี๊ด๊าต้องมาโดนแฟนหนุ่มที่ชื่อวอร์เนอร์ (Matthew Davis) บอกเลิก ด้วยเหตุผลว่าเขาอยากมีอนาคตในการทำงานด้านการเมือง ดังนั้นการคบหาสาวใสที่ดูไร้สติแบบนี้ ไม่น่าจะส่งผลดีกับชีวิต
แต่แอลก็ไม่ยอมแพ้ครับ เธอตามไปสมัครเรียนกฎหมายที่ฮาร์วาร์ด ที่เดียวกับวอร์เนอร์ซะเลย เพื่อจะพิสูจน์ให้เขาเห็นว่า เธอก็สามารถเอาดีทางด้านนี้ได้เหมือนกัน และนั่นล่ะครับ ความสนุกอีกเยอะแยะมันก็เริ่มที่ตรงนั้นล่ะ
ชอบจริงๆ ครับ หนังออกมาลงตัวดูเพลินมากๆ ด้านความฮาน่ะไหลได้เรื่อยๆ อันนี้ขอยกนิ้วให้ Witherspoon เลยครับ เธอครองหนังอยู่ เล่นได้ลื่นทั้งตอนฮาและตอนดราม่า แล้วยังได้ Jennifer Coolidge มาเสริมทัพเรียกเสียงหัวเราะอีก แค่ดูพวกเธอเล่นกันก็ฮาแล้วครับ (อย่างมุข “เก็บแล้วเด้ง” นั่นเป็นต้น ยังมี Luke Wilson, Selma Blair, Victor Garber, Ali Larter และ Holland Taylor มาแจมอีกด้วย โดยเฉพาะรายหลังนี่โผล่ไม่เยอะ แต่ได้ใจคนดูไปไม่น้อยเลยครับ
แต่ที่ชอบแบบผิดคาดคือเนื้อหาครับ มันไม่ใช่แค่เรื่องของหญิงสาวคนหนึ่งไล่ตามตื้อผู้ชายเท่านั้น ดูๆ ไปหนังสอดแทรกแง่คิดดีๆ ที่ผมอยากให้ใครก็ตาม วัยใดก็ตาม และเพศใดก็ตาม ที่มีความรัก อยากให้ดูแล้วเก็บมาคิดครับ (อันนี้อาจมีสปอยล์นะครับ ไม่อยากทราบตามไปอ่านดาวเลยนะครับ)
จริงที่แอลตอนต้นเรื่องดูเป็นผู้หญิงพิ้งค์ลัลล้า จนกระทั่งวอร์เนอร์เองยังมองว่าเธอดูสวยแต่ไร้สมอง ทว่าในเวลาต่อมาแอลก็พิสูจน์ตัวเองว่าถ้าเธอจะทำอะไรให้สำเร็จสักอย่าง เธอก็ทำได้ในท้ายสุด แต่มันอยู่ที่เธอจะเลือกมุ่งมั่นจริงจังหรือไม่เท่านั้น
ก็เหมือนกับเราทุกคนนั่นแหละครับ อย่าเพิ่งดูถูกตนเอง (เช่นเดียวกับอย่าด่วนดูแคลนผู้อื่น) บางครั้งมันต้องลองทำ ลองพยายามกันดูสักตั้ง มันถึงจะรู้ว่าเราสามารถทำได้แค่ไหน และไปได้ไกลแค่ไหน
ถ้าทำสำเร็จก็ดี ถ้ายังไม่สำเร็จก็ถือเป็นบทเรียน
และในช่วงเวลาต่อมาเธอก็ได้เรียนรู้ครับ ว่าคุณค่าของตัวเรานั้นมันไม่ได้ขึ้นกับว่า “คนอื่นจะเห็นคุณค่าของเราไหม” แต่มันอยู่ที่ “เราน่ะ เห็นคุณค่าในตัวเองแค่ไหน” ต่างหาก
ในจุดเริ่มต้น แอลเคว้งคว้างหลังวอร์เนอร์ไล่เธอออกจากตำแหน่งแฟน จนเธอรู้สึกเสียศูนย์ จนเธอกังขาในคุณค่าของตนเอง อันเป็นจุดเริ่มให้เธอตามวอร์เนอร์ไปสุดหล้า สมัครเรียนฮาร์วาร์ดจนสำเร็จ แต่หลังจากเธอได้พบเจอเรื่องราวมากมายในรั้วฮาร์วาร์ด อีกทั้งได้ทำงานด้านกฎหมาย ได้เรียนรู้ที่จะช่วยเหลือผู้อื่น เธอก็ตระหนักครับว่าแท้จริงแล้วคุณค่าของเธอน่ะมันมีอยู่แล้ว มันอยู่ที่ตัวเธอเองจะเห็นไหม และมันอยู่ที่ตัวเธอเองน่ะจะทำตนให้เปี่ยมคุณค่าได้ไหม
ยอมรับว่าผมแพ้ทางหนังสไตล์นี้ครับ เจอสาระประมาณนี้ทีไรได้ใจทุกรอบ เพราะมันคือแง่คิดที่คนมีความรักควรบอกตนเองเสมอ
บางครั้งคนที่เรารักเขาไม่สนใจเรา ไม่รักเรา ไม่แคร์เรา หรือตีจากเรา แต่แม้มันจะเป็นแบบนั้น เราก็อย่าด่วนสรุปว่าตัวเองด้อยค่า จริงครับที่ว่าคนเราน่ะไม่สมบูรณ์แบบหรอก เราอาจมีส่วนไม่ดี อาจมีส่วนที่ไม่เข้าตาเขา (แบบที่ความบลอนด์ของแอลไม่เข้าตาวอร์เนอร์) แต่เราก็สามารถเรียนรู้จากมันได้ ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงได้หากเรามีส่วนไม่ดีจริงๆ
ขณะเดียวกันเราก็ไม่จำเป็นต้องเรียกร้องให้ใครมาเห็นค่าหรอกครับ ขอเพียงเราทำสิ่งที่ดีเพื่อตนเอง เพื่อคนรอบข้าง ไม่เบียดเบียนใคร แล้วก็ค้นหาตัวตนที่เราเป็นให้เจอ ค้นหาสิ่งที่เรารักให้พบ จากนั้นก็พัฒนาตนเองไปเรื่อยๆ ระหว่างทางบนกระบวนการเหล่านี้เราก็จะเพิ่ม “คุณค่าในตนเอง” ได้มากขึ้น เราจะ “อยู่ด้วยตัวเองได้” มากขึ้น และเมื่อเรามีคุณค่าขนาดนั้นแล้ว เดี๋ยวเราก็จะได้เจอคนดีๆ (หรือคนดีๆ ก็จะหันมาเจอเรา) ได้เองนั่นแหละครับ
หรือต่อให้ยังไม่เจอใคร เราก็อยู่ด้วยตัวเองได้ พึ่งพาตนเองได้ และสามารถทำอะไรดีๆ ให้กับคนอื่นๆ ได้
การที่ใครสักคนบอกเลิกเรา คือทางที่เขาเลือกครับ และสิทธิ์ที่เราจะเลือกทางเดินของตนก็ไม่ได้หายไปไหน อย่าได้โยนชีวิตตัวเองทิ้งเพียงเพราะคนบางคนโยนเราออกจากชีวิตเขา… เช่นนั้นกรุณาเลือกให้ดีนะครับ
นั่นคงเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมรัก “แอล วู้ดส์” คนนี้ขึ้นมาครับ โดนใจมาก จนอยากแนะนำให้ผู้หญิงที่โดนผู้ชายบอกเลิกลองดูหนังเรื่องนี้สักครั้ง… มันจะให้อะไรกับคุณได้อย่างมากทีเดียว
อีกหนึ่งตัวละครที่ทำให้ผมประทับใจคือวิเวียน เคนซิงตันที่ 3 (Blair) ตอนแรกเธอก็มาแนวศัตรูหัวใจของแอล เป็นคู่แข่งที่มาแย่งวอร์เนอร์ไป แต่บทหนังก็ไม่ได้ทำให้ตัวละครนี้กลายเป็นนางอิจฉาครับ เพราะเมื่อถึงจุดหนึ่งวิเวียนเองก็แพ้ความดีของแอล ชื่นชมในความมุ่งมั่นของสาวบลอนด์คนนี้ จนในที่สุดพวกเธอก็กลายเป็นเพื่อนกัน (แม้จะมีเข้าใจผิดกันบ้างก็ตาม)
ดูเรื่องนี้แล้วผมมีความสุขครับ อาจเพราะสาวๆ ในเรื่องไม่ไร้สมอง และได้เห็นคน (ส่วนใหญ่ในเรื่อง) เลือกทางเดินของตนอย่างสร้างสรรค์ มันอาจดูเป็นหนังโลกสวยสำเร็จรูปไปบ้าง แต่เราก็สามารถเอาอะไรเหล่านี้มานำทางในโลกแห่งความจริง
และอีกคนที่ผมชอบคือ เอ็มเม็ท (Wilson) ครับ… ใช่ครับ ดูเผินๆ เขาอาจเป็นตัวประกอบ เป็นพระเอกที่ไม่ได้มีบทนำอะไรมากมาย แต่ดูดีๆ ครับ เขาคอยช่วยแอลเป็นระยะ ให้กำลังใจเธอ แนะนำเธอ สอนเธอ หรืออย่างตอนซักค้านในศาลรอบสุดท้าย เขาทำหน้าที่ตัวเองเท่าที่จำเป็น นอกนั้นคือส่งสายตาบอกแอลว่า “คุณทำได้นะ ขอให้มั่นใจนะครับ”
แค่นั้นก็ถือว่า “หล่อ” มากๆ แล้วครับ สำหรับบทพระเอกในเรื่องนี้
นอกจากประเด็นดีๆ แล้ว ผมชอบการโต้กันในศาลครับ สนุกมาก แม้บางอย่างจะดู “ง่าย” ไปบ้าง แต่ผมว่ามันก็ง่ายแบบพอเหมาะ มีการใช้สมองในระดับที่น่าพอใจ ยิ่งตอนท้ายที่แอลต้องซักค้านปิดคดีนี่ก็ถือว่าทำได้สนุก ลุ้นกำลังดีเลยล่ะครับ
มีเกร็ดสนุกๆ อยากเล่าให้ฟังครับ อย่างแรกเลยก็คือคนที่เกือบจะได้เล่นเป็นแอล วู้ดส์ก็ได้แก่ Charlize Theron, Gwyneth Paltrow, Alicia Silverstone, Katherine Heigl, Christina Applegate, Milla Jovovich และ Jennifer Love Hewitt แต่สุดท้าย Witherspoon ก็ได้บทไป พร้อมทั้งมีการระบุไว้ในสัญญาว่า Witherspoon สามารถเก็บชุดคอสตูมทั้งหมดที่ปรากฏในหนังเป็นของตัวเองได้เลยหลังถ่ายทำเสร็จครับ
และก่อนการถ่ายทำจะเริ่ม Witherspoon ทำการบ้านโดยใช้เวลา 2 สัปดาห์เรียนรู้พฤติกรรมของสาวๆ ชาวหอ แล้วเธอก็พบว่านิสัยของพวกเธอนั้นน่ารักและสุภาพ ไม่ได้ร้ายกาจ เรื่องเยอะ หรือขี้วีนแบบที่เรามักจะเห็นบ่อยๆ ในหนัง แล้วหนังก็ถ่ายทอดภาพลักษณ์ของสาวๆ ชาวหอให้เราเห็นในแบบเวอร์ชั่นนั้นครับ นอกจากนี้ Witherspoon ยังไปนั่งสังเกตพฤติกรรมการช้อปของสาวๆ ตามห้าง อีกทั้งไปหมกตัวอยู่ในโรงเรียนกฎหมายเป็นวันๆ เลยทีเดียว
ส่วนฉากว่าความในศาลนั้น Witherspoon บอกว่าหนังได้แรงบันดาลใจมาจากหนัง My Cousin Vinny ครับ และลีลาการสาธยายแบบแซ่บในศาลของแอลก็ได้แรงบันดาลใจมาจากลีลาของ Marisa Tomei ในหนังเรื่องนั้นนั่นเอง
ตัวหนังประสบความสำเร็จอย่างสวยงามครับ หนังลงทุนราวๆ $18 ล้าน ก่อนจะโกยมาราวๆ $96.5 ล้านในอเมริกา ถ้ารวมทั่วโลกก็ทำเงินไป $141 ล้าน และความสำเร็จของหนังก็ส่งผลให้ Witherspoon ได้รับบทนำใน Sweet Home Alabama และหนัง Legally Blonde เรื่องนี้ก็มีภาคต่อตามมา แม้ความสนุกจะไม่เท่าภาคแรก แต่ก็ทำเงินไปไม่น้อยหน้ากัน
สรุปว่าหนังเรื่องนี้อร่อยมากครับ ดาราดี บทดี การนำเสนอสนุกดี เพลงก็เพราะ โดยเฉพาะเพลง ของ Hoku ที่ใช้เปิดและปิดเรื่องได้อย่างเหมาะเหม็ง เป็นอีกหนึ่งหนัง Feel Good แบบขำๆ ที่ดูซ้ำได้เรื่อยๆ (โดยเฉพาะในยามที่เราสงสัยในคุณค่าของตน)
สองดาวสามส่วนสี่ดวงครับ
(7.5/10)