Action

บอดี้การ์ดหน้าเหลี่ยม 2 (2007) The Bodyguard 2

bg2_00

ตอนแรกหมายมั่นว่าจะเข้าไปพิสูจน์มันในโรงซะเลย เพราะภาคแรกนี่ผมชอบนะครับ แม้พล็อตจะไม่มี แต่แอ็กชันมันไม่ผิดหวัง ตีกันมันส์ใช้ได้ ไอ้เรื่องฮาก็เรื่อยๆ ผมเลยสนุกไปตลอดครับ พอภาคสองจะสร้างก็รอตามระเบียบ ด้วยความหวังว่ามันจะสนุกไม่แพ้ตอนแรก

พอดูตัวอย่างก็ออกจะหวังเล็กๆ ว่ามันน่าจะดูเพลินน่ะครับ แอ็กชันดูอลังการกว่าเก่า มุกฮาก็น่าจะพอได้ แม้จะเอาอวัยวะเบื้องล่างมาเล่นกันเยอะก็เถอะ

ภาคนี้ย้อนไปเล่าถึงจุดเริ่มของวงค์คม หรือที่ภาคนี้ใช้ชื่อว่า คำเหลา (พี่หม่ำ จ๊กม๊กของเรานั่นเอง) ว่าก่อนที่เขาจะเป็นบอดี้การ์ดมือดีนั้น เขาเคยเป็นสายลับพิเศษรัฐบาลหนองหวายหลึม ที่สืบคดีที่ไรล่ะข้าวของได้พังกันวินาศสันตะโรไปหมด จนผู้ใหญ่มอบหมายงานแทรกตัวเข้าไปสืบเงื่อนงำการค้าอาวุธสงคราม โดยผู้ค้ามีหน้าฉากเป็นเจ้าของธุรกิจเทปเพลง ค่าย GRSM GRAMMA หัวหน้าผู้ร้ายคราวนี้มีสองราย คืออาอู๋ กับเฮียท้อ (ล้อกันเข้าไป ส่วนคนมาเล่นก็คือ สุชิน ควรสงวน หรือ ชิน โฟร์เอส เจ้าของวลี อีกแล้วครับท่าน และ สุรชัย สมบัติเจริญ) คำเหลาก็ต้องปลอมตัวเป็นนักร้องเข้ามาสืบความจริง แล้วก็ต้องหาทางทลายฐานทัพของพวกมันตามระเบียบ

เนื้อเรื่องมีแค่นี้ครับ นอกนั้นเป็นมุกและแอ็กชันที่ยัดกันเข้ามา ตอนเข้าฉายก็เกือบไปดูครับ บอกแล้ว แต่ก็ไม่มีเวลา แล้วก็ได้ยินเสียงสรรเสริญเชิงลบอีกเพียบไปหมด จนรอดูแผ่น แล้วก็มานั่งนึกดีใจ ค่อยยังชั่วที่ไมได้เสียเงินเป็นร้อยไปดู

ช่วงที่เข้าท่าที่สุดของหนังกลับเป็นตอนต้นน่ะครับ แอ็กชันและมุกในตอนแรกๆ อย่างไอ้มุก “นี่มึงยิงเป็นหรือเปล่าเนี่ย – ปัดโธ่ พี่” แล้วก็แอ็กชันไล่ล่าที่ต่อเนื่อง มันส์ใช้ได้ครับ ระเบิดกันสนุกสนาน ตอนใช้รถไล่กันก็ไม่เลวนะครับ คิวบู๊สร้างสรรค์ใช้ได้ ดูแล้วมันเพลิน ลูกเล่นก็ก็มีอย่าง ตอนมีถังระเบิดร่วงตามทางที่ขับรถไล่กันน่ะครับ ทำให้ฉากบู๊พวกนี้ไม่ได้เป็นแค่ขับรถไล่กันธรรมดาๆ

ผมออกจะชื่นชมความสามารถของพี่หม่ำแกอย่างคือ แกทำคิวบู๊ได้ค่อนข้างแน่ในภาคแรก คือมันเหมือนเป็นการยำผสมผสานจับฉ่ายมาจากหนังหลายเรื่องก็จริง แต่เป็นการจับฉ่ายที่ตรงประเด็น ดูแล้วมันสมจริง ให้อารมณ์มันส์ ภาคนี้ในตอนแรกผมก็เกือบจะสมหวังแล้วล่ะครับ … แต่แค่ช่วงแรกเท่านั้นนะครับ

เพราะหลังจากนั้นมา คิวบู๊ก็ไม่ได้เด็ดเท่าอันแรกแล้วล่ะ มันเดิมๆ ครับ ยิ่งตอนท้ายไปไล่อัดกันในโกดัง เหมือนกับย้อนรอยเดินตามภาคแรกไม่มีผิด ซ้ำยังให้พี่จามารับเชิญอีก แต่งานนี้ยัดเยียดสุดๆ ไม่เหมือนภาคแรก มาแบบนิ่มๆ ขโมยซีนแบบนิ่งๆ

คือถ้าดูแบบไม่คาดหวังผมก็ว่าโอเคล่ะครับ ผมเองก็ไม่คาดหวัง ก็เลยรู้สึกพอจะสนุกบ้างกับฉากบู๊ที่แม้จะไม่สดเท่าภาคแรก แต่ก็ไม่ได้จืดเกินไป ทว่าส่วนที่ทำให้หนังออกมาชืดยิ่งกว่าคือพล็อตที่เหมือนจะพยายามยัดเข้าไป ไม่ว่าจะสายลับสาวที่มาสืบเหมือนกัน หรือเรื่องภรรเมียจอมโวยวาย (รับบทโดย เจเน็ต เขียว) แล้วก็พล็อตรายทางอีกมากมายที่ไม่ค่อยจะเป็นเนื้อเดียวกับหนัง ไม่เหมือนภาคแรกครับ เรื่องความรักของพระ – นางในเรื่องมันยังพอลุ้น พอสนุกได้

อาจเพราภาคแรกพล็อตรองมันมีแต่พอดีไงครับ แค่น้อยๆ พอประมาณมันเลยกลมกล่อม แต่นี่เยอะไปหมด แล้วตอนท้ายยังพยายามมาจับแพะจนแกะให้เรื่องมาสรุปจบกันได้ในฉากเดียวอีก มันเลยออกจะยัดเยียดเกินไป

ความรู้สึกเชิงว่าพล็อตอีนุงตุงนัง แต่รีบสรุปเรื่องรวมให้ได้ในฉากเดียวนี่ เหมือนที่ผมเคยรู้สึกมาแล้วใน Die Hard With A Vengeance ที่พล็อตเพียบ แล้วก็พยายามรวบจบ แต่ Die Hard โอกว่าครับ เพราะอย่างน้อยเรื่องราวระหว่างนั้นมันก็ยังน่าติดตาม แต่กับบอดี้การ์ดนี่ ไม่น่าตามเลยอ้ะ เหมือนฉากต่อฉาก มุขต่อมุขไปเรื่อยๆ แค่นั้น

ถ้าถามว่าทำไมผมถึงชอบภาคแรก ก็ไม่ใช่เพราะคิวบู๊เท่านั้นนะฮะ แต่เป็นในเรื่องพล็อตรองที่มันเดินไปอย่างเหมาะสม อย่างคู่รักในภาคแรกก็กุ๊กกิ๊กน่ารักดี หรือจะบุคลิกของวงค์คม ที่แม้ภาคแรกเฮียหม่ำแกจะแสดงน้อย เหมือนนิ่งตลอด แต่นั่นกลับเป็นผลดีครับ เพราะหนังอธิบายไว้ว่าบุญคุณที่เจ้านายมีต่อวงค์คมมันเยอะมาก เขาเลยยอมทำทุกอย่างเพื่อปกป้องเจ้านาย และลูกของเจ้านาย หน้าตาที่นิ่งกลับซ่อนไว้ด้วยความเจียมตัว และเหนืออื่นใดคือความเป็นห่วงเจ้านาย

แต่มาภาคนี้ ตัวคำเหลาเองออกมาเชิงคึกๆ ฮาๆ บ้าๆ ดีกรีความเจียมตัวนี่ไม่มี ซึ่งก็พอเข้าใจล่ะครับ เพราะมันปเนภาคก่อนหน้า เขายังไม่ได้เจอกับเจ้านายคนนั้น มันเลยเป็นอีกบุคลิกหนึ่ง แต่ไอ้บุคลิกที่โผล่ในภาคนี่มันออกแนวตัวการ์ตูน ไม่ได้น่าเอาใจช่วยอย่างภาคแรกเลย ภาคแรกเรายังเอาใจช่วยให้วงค์คมจัดการทุกอย่างได้ เพื่อแก้แค้นให้นาย แต่เรื่องนี้คำเหลาแค่เดินๆ ไป จัดการผู้ร้าย จบ

ออกจะเสียดายเพราะจริงๆ หนังอุตส่าห์มีแนวทางให้คำเหลามีมิติอยู่แล้วเชียว ก็เรื่องเมียไงครับ ถ้าเอาประเด็นนี้มาเสริม เหยาะความรักความห่วงลงไปหน่อย ไม่ใช่เอาแต่ด่าล้วนๆ ตัวคำเหลาเองคงดูน่าเอาใจช่วยกว่านี้เยอะ

อย่าว่างั้นงี้เลยครับ แหยม ยโสธรที่ผมไม่ได้ติดใจอะไรนัก ผมยังรู้สึกว่าปมรักๆ หรือปมที่ทำให้ตัวละครดูมีชีวิตจิตใจยังเหนือชั้นกว่าเรื่องนี้เยอะทีเดียว

เป็นการบ่นด้วยความเสียดายตามระเบียบ เพราะยุคนี้สมัยนี้แล้วน่ะนะครับ หนังแอ็กชันเราก็ดูกันมาเยอะแล้ว แม้จะไม่มีใครทำวิจัยที่แน่ชัด แต่ส่วนมาก หนังแอ็กชันที่เขายกนิ้วให้ว่าดีมันมาจากสององค์ประกอบ หนึ่งคือบู๊มันส์ สองคือมีเรื่องให้คนอยากดูตาม เรื่องนีก่แล้วแต่ว่าจะให้คนดูติดตามอะไร อาจจะเป็นพล้อตการสืบสวน การตามปม หรือให้คนดูผูกพันกับตัวละคร อะไรเหล่านี้ช่วยเสริมให้หนังแน่นขึ้น คนดูก็จะได้มีอะไรทำ ไม่ใช่ดูคิวบู๊จนจบครบสองชั่วโมงแล้วกลับบ้าน แบบนั้นผมดูมวยอยู่กับบ้านก็ได้ครับ มันบู๊เหมือนกันนี่หน่า

ถ้าผมหวังมากกว่านี้คงผิดหวังล่ะครับ แต่นี่ดีที่เจอคำด่าสกัดไว้เยอะ เลยทำใจ หนังก็ออกจะเหมาะแก่การที่หลายคนด่าจริงๆ แหละครับ มันเบานี่หน่า ความฮาก็ไม่ได้เยอะอะไร ผมออกจะขำกับมุขเชยๆ อย่างในแหยมมากกว่าด้วยล่ะ ส่วนการปรากฎตัวของสารพัดดารารับเชิญในเรื่องก็ไม่ใช่เรื่องตื่นตาอีกแล้วครับ เพราะมันโผล่กันเยอะไปหมด

จริงๆ เคล็ดของการมีดารารับเชิญนี่คือเชิญแบบแว้บๆ ให้คนดูกรี๊ด มันจะได้ผลกว่าครับ แต่นี่เล่นเอามาแสดงยาวกันทั้งนั้น อย่างสองเฮียกับอาอู๋นั่น ฉากแรกพอจะฮาครับ แต่หลังๆ มันชินแล้ว ส่วนพี่จาก็ลากยาวแบบยัดเยียด เลยไม่ได้ฮาอะไรนัก หรือแม้แต่พี่เท่งก็ไม่ได้ฮาแตกอย่างที่คาด

ไปๆ มาๆ คนที่ฮาได้สุดๆ กลับเป็นตลกซูเปอร์สตาร์ พี่โหน่งครับ ไอ้ฉากสามนาทีสุดท้ายตอนเครดิตขึ้นน่ะผมกับเพื่อนมานั่งพิจารณากันแล้วนะครับ คิดเหมือนกันว่าดูหนังมาทั้งเรื่อง ถ้าจะชอบฉากไหนก็ยกให้ฉากพี่โหน่งด่าพี่หม่ำน่ะแหละ ไฮไลท์เลยครับ เป็น Long Take ด้วยนะครับ เอ้า ไม่ธรรมดานะ ผมล่ะขำฉากนั้น มันส์กับฉากนั้นที่สุดแล้วครับ

สรุปล่ะนะครับ ว่ามันก็ดูได้ แต่อย่าหวังมาก ผมชอบภาคแรกมากกว่าเยอะ มันผสมความฮาและแอ็กชันได้ลงตัวกว่านี้เยอะครับ แล้วพล็อตรองก็น่าดู น่าเอาใจช่วยตาม แต่ภาคนี้เอาฮาแล้วก็เอาฉากต่อฉากมากกว่า เนื้อเรื่องไม่ใคร่จะไปด้วยกันเท่าไหร่

แต่ก็นั่นแหละ เอาเนื้อหา เอาความจริงจังในหนังมันเหมือนรีดเลือดจากปูเสียมากกว่านะครับ เอาเพลินๆ พอ แต่ถึงกระนั้นมันก็ไม่ใคร่จะเพลินตลอดรอดฝั่งอยู่ดี

นี่ได้ข่าวว่าจะทำตอนสามอีก ก็ได้ครับ ไม่ว่ากัน ขออย่างเดียวอย่าเอาแต่ยัดคิวบู๊แบบภาคนี้แล้วกันนะครับพี่หม่ำ

สองดาวครับ

Star21

(6/10)