ซีรี่ส์แนะนำ Recommended

Chesapeake Shores Season 1 (2016) เชซาพีคชอร์ส ปี 1

21728623_1764748136889313_4542061452846990277_o

การดูซีรี่ส์นี้ถือเป็นการพักผ่อนแบบสบายๆ สำหรับผมเลยครับ เป็นซีรี่ส์แนวดราม่าผสมเรื่องในครอบครัว มีความโรแมนติกผสมลงไปแบบพอเหมาะ และมีวิวทิวทัศน์สวยงามถึงขนาดว่าบันดาลความสดชื่นให้บังเกิดในตัวผมได้เลย

ผมเปิดดูตอนแรกระหว่างออกกำลังช่วงเช้าครับ แล้วก็ลากยาวเลยทีนี้ เพราะมันถูกจริตครับ อย่างที่หลายท่านทราบว่าผมชอบหนังสไตล์ Hallmark อยู่แล้ว และซีรี่ส์นี้ก็ตอบโจทย์นั้นได้เป๊ะ (ก็ Hallmark ทำนี่ครับ 555)

เรื่องของแอ็บบี้ โอ ไบรอัน (Meghan Ory) ลูกคนโตของบ้านโอไบรอันที่แต่งงานไปใช้ชีวิตอยู่ในเมือง แต่แล้วก้มีเหตุให้เธอต้องกลับบ้านที่เมืองเชสซาพีค ชอร์สครับ เธอก็เลยต้องมาเผชิญกับอดีตที่เธอเคยหันหลังให้

ไม่ว่าจะ เทรซ (Jesse Metcalfe) คนรักเก่าที่ไปเป็นนักดนตรีอยู่พักหนึ่ง, มิก (Treat Williams) พ่อผู้บ้างานของเธอ จนเธอปฏิญาณตนเลยว่าจะไม่ยอมเป็นแบบเขา (แต่ท้ายที่สุดแล้ว เธอก็เป็นครับ) และ เมแกน (Barbara Niven) แม่ของเธอที่ตัดสินใจไปจากบ้านโอไบรอันเมื่อหลายสิบปีก่อน

นอกจากนี้แอ็บบี้ยังมีพี่น้องอีก 4 คน ได้แก่ บรี (Emilie Ullerup) นักเขียนบทละครที่กำลังเจอปัญหาชีวิตรัก, เจส (Laci J Mailey) น้องสาวที่กำลังจะพยายามเปิดที่พักเล็กๆ ไว้บริการนักท่องเที่ยว, เควิน (Brendan Penny) ที่เลือกจะไปรับใช้ชาติเพื่ออยู่ให้ห่างจากครอบครัวที่สุด และ คอนเนอร์ (Andrew Francis) น้องตัวแสบที่ชอบทำตัวป่วนชาวบ้านอยู่บ่อยๆ

ในเรื่องเราก็จะได้เห็นความรักและปัญหาที่เกิดกับครอบครัวนี้เป็นพักๆ ครับ แต่ยังดีที่บ้านน้อยแห่งนี้มีคุณย่าผู้น่ารัก (Diane Ladd) คอยให้กำลังใจและสอนวิชาชีวิตให้กับลูกหลานแต่ละคน… นี่แหละครับเรื่องย่อของซีรี่ส์นี้

ปีแรกมี 10 ตอนครับ ผมดูแล้วติดเลย อย่างแรกเพราะทิวทัศน์งามๆ ครับ สวยจริงอะไรจริง ไม่ว่าจะป่าไม้ที่เขียวขจี เมืองที่ดูเล็กๆ น่ารักและอบอุ่น แค่ดูก็เหมือนได้ไปเที่ยวแล้วครับ และตากล้องก็รู้งานมากๆ จับช็อตสวยๆ มาใส่อยู่ตลอด เลยทำให้ซีรี่ส์ชุดนี้โดดเด่นมากทีเดียวในเรื่องโลเกชั่น

ต่อมาคือเนื้อหาครับ จริงๆ มันก็คือดราม่าครอบครัวนั่นแหละ ครอบครัวเดียวกันมีเรื่องไม่เข้าใจ ห่างหายกันไปนาน แล้วก็ต้องกลับมาเจอกันอีกครั้ง มันก็เลยมีทั้งที่ปรับตัวเข้ากันได้ และยังมองหน้ากันไม่ติด ซึ่งนั่นก็เป็นปมที่ซีรี่สค่อยๆ แก้ไปทีละเปลาะ

ซีรี่ส์ก็มีความเป็น Feel Good ครับ มีแง่คิดดีๆ และคำพูดคมๆ หลายอย่าง ดูแล้วก็ชวนให้นึกถึงหนังญี่ปุ่นเหมือนกัน แต่กับเรื่องนี้ก็ยังไม่ลึกซึ้งหรืออินถึงอารมณ์แบบซีรี่ส์ญี่ปุ่นครับ (ซึ่งจุดนี้ก็พอเข้าใจได้)

สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมสบายใจในการดูซีรี่ส์นี้คือ มันไม่น้ำเน่าเกินเหตุครับ ตัวละครอาจมีจุดงี่เง่าบ้างแต่ก็ไม่เยอะ อันที่จริงควรต้องใช้คำว่า “จุดเปราะบาง” มากกว่า เพราะแต่ละคนมีจุดเปราะบางที่ต่างกันไป เลยจะมีวาระให้เวิ่นเว้อกันบ้าง แต่มันเป็นไปอย่างพอเหมาะครับ ไม่ได้เยอะเกินมากเกินจนทำให้หนังน่ารำคาญแต่อย่างใด

ผมรักตัวละครคุณย่าที่สุดครับ Ladd แสดงได้อย่างสุดยอด เะอแผ่รัศมีความอบอุ่นปกคลุมในทุกฉากที่เธอปรากฏตัวครับ เอาแค่รอยยิ้มของเธอตอนเห็นคนในครอบครัวมากันพร้อมหน้านี่ผมก็น้ำตาซึมแล้วล่ะ แสดงได้เก่งจริงๆ (เธอก็คือแม่ของ Laura Dern นางเอก Jurassic Park ภาคแรกครับ)

เอาเป็นว่าใครชอบหนังสไตล์ Hallmark ประเภทว่ามีฉากสวยๆ ทิวทัศน์งามๆ ดนตรีดีๆ เนื้อเรื่องดราม่าผสมกับโรแมนติกแบบพอดี และให้อารมณ์ Feel Good ล่ะก็ เรื่องนี้ต้องจัดเลยครับ

ปล. Hallmark ยังมี When Calls the Heart อีกเรื่องที่สุดยอดมากๆ ไว้มีโอกาสจะนำมาพูดถึงครับ และทั้ง 2 ซีรี่ส์นี้หาดูได้ที่ Netflix ครับ มีซับพร้อมสรรพครับ

สามดาวครับ

Star31

(8/10)