Action

The Three Musketeers (2011) 3 ทหารเสือดาบทะลุจอ

GT Master bill.type

ผมชอบตำนาน 3 ทหารเสือมากครับ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ผมจะควานหานิยายมาอ่าน และตามดูหนังขุดไปถึงปี 1921 โน่น เพราะอะไรน่ะเหรอครับ ก็หนังมีจุดเด็ดเด่นๆ 3 อย่าง ได้แก่เรื่องราวตัวละครที่มีเสน่ห์เฉพาะตัว ตั้งแต่ 3 ทหารเสือที่เท่ห์ไปคนละแบบ ดาตาญังที่ห้าวหาญ กษัตริย์ที่พยายามหาทางให้ตนเองมีความเข้มแข็งกล้ายืนหยัดสู้กับคนที่หมายจะยึดครองบัลลังก์ ฯลฯ อีกทั้งเนื้อเรื่องที่มัเรื่องศักดิ์ศรี มิตรภาพเจืออยู่อย่างพอเหมาะ จนไม่แปลกใจครับที่นิยายเรื่องนี้จะเป็นอมตะยืนยาวมาได้ถึงตอนนี้

2 ฉบับล่าสุดที่คอหนังน่าจะพอหาได้ก็คือฉบับ 1993 ที่ Disney ทำซึ่งถือว่าโอเคทีเดียวครับ ไม่เด่นด้านเนื้อเรื่องแต่ตัวละครและฉากต่อสู้นับว่าอร่อยพอตัว ฉบับต่อมาคือปี 2001 ที่ช่วงนั้นฮอลลีวู้ดกำลังบ้าวิทยายุทธแบบจีน เลยจัดการตาม Xin Xin Xiong (ที่คอหนังจีนคงจำได้ดีจากบท “ตีนผีเจ็ด” ในหนังชุดหวงเฟยหง) มาช่วยเนรมิตฉากฟันดาบให้ แล้วนั่นก็เป็นจุดเด่นอันเดียวในหนังครับ เพราะเนื้อเรื่องเสน่ห์ตัวละครไม่รู้ไปไหนหมด

ไปๆ มาๆ หนังว่าด้วย 3 ทหารเสือเรื่องที่ดีที่สุดต้องยกให้ The Man in The Iron Mask อันเป็นเรื่องราวช่วงวัยสูงอายุของ 3 ทหารเสือและดาตาญังที่ต้องมาช่วยกันกู้อาณาจักรอีกสักครั้ง

มาฉบับนี้ผมก็ภาวนาล่ะครับ อยากให้ทำออกมาเด็ดๆ และเท่าที่ดูจากตัวอย่างหนังก็เหมือนจะมีอะไรมันส์ๆ นำมาเสิร์ฟไม่ว่าจะฉากเร้าใจ (ที่มีไว้เพื่อการดูแบบ 3 มิติโดยเฉพาะ) และการสู้กันบนเรือเหาะเป็นต้น… แล้วผลก็ออกมาว่า… ผมว่าผมเล่าเรื่องย่อก่อนดีกว่าครับ ^^

เนื้อเรื่องมาตามพล็อตเดิม นั่นคือ ดาตาญัง (Logan Lerman) หมายมั่นจะมาเป็นทหารเสือในเมืองหลวง แล้วเขาก็ได้พบเจอกับ 3 ทหารเสือผู้เป็นตำนาน อันได้แก่ อาโทส (Matthew Macfadyen) ผู้เด็ดเดี่ยว, ปอร์โตส (Ray Stevenson) จอมพละกำลัง และอารามิส (Luke Evans) ผู้เชื่อในพระเจ้า แล้วพวกเขาก็มาร่วมมือกันสู้กับผู้ไม่หวังดีต่อราชบัลลังก์อย่างคาร์ดินัล ริเชลิว (Christoph Waltz) , รอชฟอร์ด (Mads Mikkelsen) มือขวาของท่านคาร์ดินัล และที่ขาดไม่ได้คือ มิลาดี้ เดอ วินเธอร์ (Milla Jovovich) สตรีเล่ห์ร้อยพิษที่ทำงานให้ท่านคาร์ดินัล แล้วฉบับนี้ยังจับเอาท่านดยุคแห่งบัคกิ้งแฮม (Orlando Bloom) มาร่วมขบวนตัวร้ายแบบเต็มๆ ด้วย

ดาราเยอะมากนะครับ แต่จะว่าไปแล้วดาราฝ่ายผู้ร้ายนั้นออกจะเป็นสีสันให้หนังมากกว่า อย่าง Waltz ก็ดูร้ายแบบผู้ดีสมบทมาก, Jovovich ก็ถนัดอยู่แล้วกับบทสาวแสบแบบนี้ แต่ที่สนุกหน่อยคงเป็น Bloom น่ะครับที่มาออกลีลาร้ายได้แบบเต็มที่ หลังจากต้องรับบทคนดีมาตั้งนาน

ในขณะที่ดาราฝ่ายพระเอก ว่าตามตรงคือดูธรรมดาไปเลยครับ ทั้งที่ตอนแรกน่ะเปิดตัวมาดีมากนะครับ ผมชอบนะ ที่มีการเพิ่มบทให้เหล่าทหารเสือมีบทบาทเหมือนสายลับที่คอยทำงานให้กษัตริย์ ดูเท่ห์ทีเดียว แต่พอหลังจากนั้นมาบท 3 ทหารเสือผมเหมือนโดนกลืนไปเลยครับ ไม่ยักกะเด่น ยิ่งดาตาญังนี่ไม่ต้องพูดถึงน่ะ ดูธรรมดาไปเหมือนกัน ทั้งที่ (ใช้หลายครั้งจัง คำนี้) หนังทำท่าจะมีบทสำคัญๆ ให้ดาตาญังนะครับ

ในฉบับนี้ดาตาญังของเราดูเกือบจะมีความเด่นกว่าเวอร์ชั่นอื่นครับ โดยที่บทกำหนดให้เขาเป็นที่ปรึกษาเรื่องความรักให้กับพระเจ้าหลุยส์ที่ 13 (Freddie Fox) กษัตริย์แห่งฝรั่งเศส ซึ่งฉบับที่แล้วๆ หนังก็มักนำเสนอพระองค์แบบผ่านๆ ในเชิงกษัตริย์ผู้อ่อนแอมากกว่า ไม่มีพัฒนาการใดๆ แต่ฉบับนี้เหมือนจะดาตาญังเป็นเสมือนที่ปรึกษาคอยแนะนำวิถีแห่งความกล้าให้พระองค์… จุดนี้ให้คะแนนบวกเลยครับ มันทำให้หนังมีอะไรมากขึ้นกว่าของเก่า แต่แล้วประเด็นนี้กลับพูดถึงแค่ครั้งสองครั้งก่อนจะเงียบหายไปในที่สุด… เสียดายจัง เพราะหนังจะเพิ่มสาระให้ตัวเองได้อีกเยอะ แล้วที่สำคัญคือมันเป็นการเพิ่มบทบาทให้ดาตาญังอีกทั้งพระเจ้าหลุยส์ได้อย่างดีน่ะครับ แต่หนังก็ใช้ประกายที่ถูกจุดอันนี้แค่ลิบๆ เท่านั้น

Untitled03551

ไปๆ มาๆ ดาตาญัง, 3 ทหารเสือ และพระเจ้าหลุยส์ที่น่าจะมีอะไรก็กลายเป็นไม่มีอะไร ยังดีที่บทราชินีแอนน์ (Juno Temple) ยังคงเป็นราชินีผู้ชาญฉลาด คอยช่วยพระเจ้าหลุยส์รับมือกับคาร์ดินัลด้วยการใช้ชั้นเชิงต่อกรอย่างลับๆ ว่าง่ายๆ คือฝ่ายดีที่พอจะดูเข้าท่าก็มีพระนางนี่แหละครับ

ด้านมิติตัวละคร ฝ่ายพระเอกไม่ค่อยมีอะไร ในขณะที่ฝ่ายตัวร้ายก็เกือบๆ จะมีเหมือนกัน อย่างคาร์ดินัลที่ดูจะฉลาดมีบทบาทเยอะมีการวางแผนฮุบแผ่นดินอย่างน่าสนใจ แต่บทพี่ท่านก็เงียบไปเลยหลังจากผ่านครึ่งแรกไป ส่วนตัวร้ายรายอื่นๆ ก็มีดีตรงการแสดงออก ปั้นหน้าเจ้าเล่ห์กันเข้าไป กล่าวคือเด่นที่ลีลาการแสดงครับ ส่วนความลึกของตัวละครกลับไม่ค่อยมากเท่าไร

จริงๆ The Three Musketeers ฉบับนี้เปิดประเด็นน่าสนหลายอย่างแบบที่ผมบอกไปน่ะครับ แต่ตัวหนังกลับไม่ต่อยอด แล้วหันไปมุ่งมั่นทำฉากเร้าใจสำหรับความเป็น 3 มิติแทน ซึ่งถ้าว่ากันจริงๆ แล้ว ลีลาการต่อสู้ไม่ว่าจะฟันดาบหรือฉากเสี่ยงตายทั้งหลาย กลับออกมาธรรมดาอย่างไม่น่าเชื่อ โดยเฉพาะฉากดวลสุดท้ายระหว่างดาตาญังกับรอชฟอร์ดที่ไม่ตื่นเต้นเท่าไร บอกตรงๆ ว่าฉากดวลตอนท้ายนี่สู้ฉบับ 1993 หรือ 2001 ไม่ได้เลยครับ หรือแม้แต่เรือเหาะก็กลับไม่ได้เติมความมันส์เท่าที่คิด ช่วงเดียวที่เรือเหาะนี่สร้างความบันเทิงก็คงเป็นตอนท้ายที่พระเจ้าหลุยส์ถามว่า “มันมาได้ยังไงน่ะ”

ตอนดูจบนี่ออกจะอึ้งเพราะหนังมันโล่งโถงยังไงก็ไม่รู้ ประเด็นศักดิ์ศรี มิตรภาพที่พึงมีก็ไม่ปรากฏ ฉากบู๊ผจญภัยก็ไม่เด่นนัก หนังธรรมดาเกินคาดจริงๆ ครับ

แต่ถ้าคิดในแง่ดี… อย่างน้อยหนังก็ไม่ได้แย่จนเกินรับ จริงๆ หนังมันไม่ได้แย่นะครับ มันดูเอาเพลินได้ ดูได้เรื่อยๆ ดูแก้เหงาได้ เพียงแต่ไม่มีอะไรน่าจดจำเป็นพิเศษ แล้วส่วนหนึ่งคงเพราะผมดู The Three Musketeers มาหลายฉบับมาก เลยมีภาพเปรียบในใจเยอะหน่อย แต่ถ้าไม่คุ้นเคยกับหนังเรื่องนี้มาก่อนเลย อาจจะดูเพลินกว่านี้ก็ได้ครับ

ก็เป็นงานเอาเพลินของ Paul W.S. Anderson หลังจากนี้พี่ท่านก็ไปทำ Resident Evil: Retribution ซึ่งผมก็รอดูอยู่ครับ เรื่องนี้ถือว่าทดลองขั้นเวลาแล้วกัน

… แต่นี่ว่าตามจริงนะ ผมอยากดูภาคต่อของ 3 ทหารเสือดาบทะลุจอ เนี่ย เพราะตอนจบมันเผยปมไว้ว่าต้องมีตอนต่อ และผมเดาว่าตอนต่อถ้าทำจริงๆ (และจัดให้หนักกว่านี้ ปรุงให้รสจัดกว่านี้) มันน่าจะมันส์ขึ้นน่ะครับ แต่ด้วยรายได้ในอเมริกาแค่ 20 ล้าน (จากทุน 75 ล้าน) ก็ไม่รู้ว่าทีมงานจะใจถึงสร้างต่ออีกหรือเปล่า อย่างน้อยรายได้ทั่วโลกก็ได้มาเป็น 100 ล้านล่ะ ถ้าอยากดูตอนต่อก็แอบลุ้นกันไปนะครับ

สำหรับใครที่ชอบเรื่องของ 3 ทหารเสือและอยากดูอะไรที่มันแจ๋วจริง ผมแนะนำเลยครับให้ลองหาฉบับปี 1948 (Gene Kelly เล่นเป็นดาตาญัง) อันนี้ถือว่าคลาสสิคครับ แล้วก็ขยับมาปี 1973 ที่ทำได้สนุกมากๆ ทั้งฮาและเข้มข้น ส่วนปี 1993 นั้นก็จัดว่าสนุกครับ แต่ความเข้มข้นอาจไม่มาก แล้วก็อย่าลืมหา The Man in The Iron Mask มาดูเพื่อจะได้รู้ชะตากรรมตอนเกษียณอายุของเหล่าทหารเสือ

ฉบับนี้ดูเอาเพลินแล้วกันครับ

สองดาวครับ

Star21

(6/10)