Action

The Green Hornet (2011) หน้ากากแตนอาละวาด

1305778268

ดูหนังเรื่องนี้แล้วหลายอารมณ์มันมาผสมกัน เหมือนตัวหนังนั่นแหละครับ มีหลายอย่างปนเป ทั้งที่เข้าท่าและยังไม่เข้าที่ แต่ถ้าไม่คิดอะไรมาก ก็จัดเป็นหนังบู๊คู่หูคู่ฮาที่ดูได้แบบเพลินๆ แต่ถ้าเติมอะไรลงไปอีกนิด จัดอะไรให้หนักขึ้น (หรือเบาลง) อีกหน่อย น่าจะเป็นหนังอร่อยที่มีภาคต่อตามออกมาได้ไม่ยาก

The Green Hornet นั้นเป็นตัวละครที่ชาวมะกันคุ้นเคยมานานครับ มันถือกำเนิดขึ้นครั้งแรกเมื่อปี 1936 ในรูปแบบละครวิทยุ ว่าด้วยเรื่องราวของนักปราบอธรรมคู่หู หน้ากากแตนและเคโต้ ที่คอยไล่ปราบทรชน โดยทำตนเสมือนหนึ่งเป็นคนนอกกฎหมาย หลังจากเวอร์ชั่นนั้นดังเอาเรื่อง หน้ากากแตนเลยได้แปลงร่างมาเป็นหนังซีรี่ส์ตอนยาวในช่วงปี 1940 ซึ่งฮิตเช่นกันครับ เพราะสร้างจบภาคแรกแล้ว คนดูก็เรียกร้องอยากดูภาคต่ออีก ผู้สร้างเลยจัดให้อีกภาคหนึ่ง อีกทั้งยังมีการสร้างสรรค์ออกมาในรูปแบบหนังสือการ์ตูนคอมมิคอีกด้วย

แล้วหน้ากากแตนก็มาโบยบินอีกครั้งในปี 1966 คราวนี้ทำเป็นซีรี่ส์ทีวีที่อำนวยการสร้างโดย William Dozier เจ้าเดียวกับที่ทำซีรี่ส์ชุด Batman เวอร์ชั่น Adam West (ที่เวลาต่อยกันทีก็มีตัวอักษร BOOM, BAM ออกมานั่นไงครับ ช่อง 5 ก็เคยเอามาฉายอยู่ช่วงหนึ่ง) ส่วนตัวเอกก็ได้ Van Williams มารับบทนำ และได้ Bruce Lee ดารานักบู๊เลือดมังกรในใจใครหลายคนที่ตอนนั้นชื่อยังไม่ดังนัก มาแสดงเป็น เคโต้ มือขวาของหน้ากากแตน

แม้ซีรี่ส์จะได้รับคำชื่นชม แต่ด้วยความที่ยุคนั้นกระแสของผู้ชมจะชอบซีรี่ส์นักปราบอธรรมแบบไม่เครียด ขอให้ขำหรือดูเพลินเข้าว่า (แบบ Batman น่ะ ใช่เลย) แต่ The Green Hornet นั้นถูกสร้างออกมาในโทนจริงจัง ไม่ขายขำและไม่เน้นเพลิน ทำให้ซีรี่ส์นี้ไม่ได้รับความนิยมในแง่เรตติ้งครับ เลยสร้างได้แค่ปีเดียวแล้วเลิกครับ

แม้จะเป็นข่าวร้าย แต่ก็มีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นตามมาสำหรับ Bruce Lee ครับ ที่พอซีรี่ส์นี้เลิก แล้วเขาก็ไม่ค่อยรุ่งเท่าไรในการโกอินเตอร์ พี่เขาเลยกลับมาทำหนังที่บ้านเกิดจนโด่งดัง แล้วผลก็คือฮอลลีวู้ดหันกลับมามองและต้องการตัวเขาทันที ซึ่งก็น่าเสียดายครับที่เขาจากไปก่อนวัยอันควร แต่ไม่ว่าจะอย่างไร สำหรับคนดูอเมริกันแล้ว ก็ยังคงจดจำ Lee ในบท เคโต้ ได้เสมอครับ (เนื่องจากซีรี่ส์แตนอาละวาดเวอร์ชันนั้น ได้รับการเอาไปฉายวนตามเคเบิ้ลและช่องต่างๆ บ่อยมาก)

ด้วยความดังแบบสะสมชื่อเสียงมายาวนานแบบนี้ ทำให้The Green Hornet โดนฮอลลีวู้ดจ่อคิวสร้างมานานมากๆ ตั้งแต่ปี 1992 ซึ่งตอนนั้น Universal Pictures ที่ได้สิทธิ์ไปก็มีการประกาศว่าจะสร้างแน่นอน และพอข่าวนี้ประกาศออกไป ก็มีนักแสดงชายนายหนึ่งประกาสเลยครับว่าเขาต้องการบทนี้มาก และเขาก็คือ Eddie Murphy … ใช่ครับ พี่แกอยากแสดงมาก เพราะช่วงนี้เขากำลังอยู่ในขาลง เลยต้องการบทนำเด่นๆ มากู้สถานการณ์ แต่ทาง Universal ก็เซย์โนแน่นอน เพราะบทพระเอกนั้น เป็นคนผิวขาวมาแต่ไหนแต่ไร

แล้วทางสตูดิโอก็หันไปติดต่อ George Clooney โดยทำสัญญากันเป็นมั่นเหมาะครับ แต่ในเวลาต่อมาพี่ท่านก็โบกมืออำลา ขอไปเล่นบทที่น่าสนใจกว่าอย่างพี่แบทแมนใน Batman & Robin แทน (แล้วหนังก็โดนคนสับระนาว )

1305778283

ถัดจากนั้นโปรเจคท์ก็ยังไม่ล่มครับ ทาง Universal ยังเดินหน้าต่อ โดยเจรจากับ Greg Kinnear ให้มานำแสดงเป็นหน้ากากแตน และ Jason Scott Lee ให้มาแสดงเป็นเคโต้ ซึ่งเหตุผลสำคัญที่ทำให้เขาได้รับการทาบทามก็คือตอนนั้นเขาเพิ่งผ่านการแสดงเป็น บรูซ ลี มาหมาดๆ จากหนัง Dragon: The Bruce Lee Story และผู้กำกับที่ทีมงานทาบให้มากทำก็คือ Michel Gondry ที่ตอนนั้นยังเป็นเพียงผู้กำกับมิวสิควีดีโอ ยังไม่เคยจับหนังใหญ่มาก่อน

ระหว่างนั้น ผู้สร้างก็ประกาศครับว่าคราวนี้สร้างแน่นอน เพราะมีการออกแบบรถ เครื่องแต่งกาย และอาวุธแบบพร้อมมูลแล้ว อีกทั้งยังมีการเปลี่ยนครับ ให้ Mark Wahlberg มาแสดงนำแทน Kinnear ด้วยเหตุผลทางหน่วยก้านและหน้าตา แต่ที่สุดแล้วโปรเจคท์ก็ไปไม่ถึงไหน จน Gondry ตัดสินใจโบกมืออำลา

ถัดจากนั้นโปรเจคท์นี้ก็ผุดมาเป็นข่างแทบทุกปีครับ แล้วดารากับผู้กำกับหลายรายก็โผล่มาพร้อมประโยคว่า “จะทำ The Green Hornet” เช่น Jet Li ช่วงที่เขากำลังร้อนในฮอลลีวู้ดก็เคยคิดจะมาเป็นเคโต้ให้, Kevin Smith ก็เคยได้รับการทาบทามให้กำกับและเขียนบทหนังเรื่องนี้ และอยากให้ Jake Gyllenhaal มาแสดงนำให้ แต่สุดท้ายก็ไม่เป็นรูปเป็นร่างสักที

แล้วเวลาก็ผ่านมาถึงปี 2007 โดยตอนนั้นลิขสิทธิ์หน้ากากแตนได้ลอยมาอยู่ในร่มเงาของ Columbia Pictures เรียบร้อย และทีมผู้สร้างก็ตัดสินใจว่า จะทำ The Green Hornet ออกมาในแบบหนังตลกบัดดี้แอ็กชันแทนที่จะเป็นเวอร์ชั่นจริงจังแบบสมัยก่อน แล้วก็มอบบทนำให้ Seth Rogen ซึ่งขานี้ก็ควบหน้าที่เขียนบทด้วยอีกหนึ่งตำแหน่ง (ร่วมกับ Evan Goldberg)

และในปี 2008 ก็มีข่าวน่าตื่นเต้นว่าคนที่จะมารับบทเคโต้และควบเก้าอี้ผู้กำกับด้วยก็คือ โจวซิงฉือ เฮียคนเล็กของเรานั่นเอง ตอนนั้นเขาก็กำลังดังสุดๆ จาก Kungfu Hustle ด้วย แต่แล้วไม่นานครับ เฮียโจวก็ตัดสินใจเดินออกจากโปรเจคท์ไป เพราะความคิดของเขาและ Rogen ไม่ตรงกัน ซึ่ง Rogen ได้มาเปิดเผยภายหลังว่า เฮียโจวแกอยากให้หน้ากากแตนมีสภาพเหมือนหุ่นเชิด ที่มีเคโต้คอยควบคุมบังคับผ่านทางไมโครชิพ ให้ออกปราบเหล่าร้ายด้วยกันน่ะครับ (จริงๆ อยากรู้เหมือนกันนะครับ ว่าเฮียโจวแกคิดอะไรมากกว่านี้อีกหรือเปล่า)

ถัดจากนั้นทีมงานเลยไปเชิญ James Wan ที่กำลังดังจาก Saw ให้ลองมากำกับหนังแนวแอ็กชันตลก แต่ Wan ก็ไม่เอาล่ะครับ เพราะมันไม่ใช่แนวเขาเลย และสุดท้ายชื่อ Gondry ก็กลับมาอีกครั้ง พอคุยกับ Rogen แล้วก็ไปกันได้… ครับ แล้วหน้ากากแตนก็ได้คืนชีพซะที… นานเป็นสิบปีเลยนะครับ กว่าจะได้คืนชีพเนี่ย

ส่วนดาราก็คัดแบบไม่ยากเย็นครับ เพราะ Rogen ประทับใจJay Chou มาได้ระยะหนึ่งแล้ว หลังจากได้ชม MV ต่างๆ แล้วก็ผลงานการแสดง ส่วนบทนางเอก เลนอร์ เคส ก็ได้ Cameron Diaz มา และบทวายร้าย ตอนแรกก็มีการเลือกว่าจะให้ Nicholas Cage มาเล่น แต่ Rogen และ Gondry อยากให้ตัวร้ายนั้นดูโหดเลือดเย็นแบบเปื้อนอารมณ์ขันนิดๆ ซึ่งประจวบเหมาะมากที่ Christoph Waltz ได้รับการกล่าวขวัญในฐานะจอมวายร้ายที่ลุ่มลึก เปื้อนยิ้ม และโหดเหี้ยมจากหนัง Inglourious Basterds พอดี บทนี้ก็เลยตกเป็นของเขาไป… แล้วเมื่อบทพร้อม กล้องพร้อม ดาราพร้อม ก็แอ็กชัน มาเป็นหนังเรื่องนี้ครับ

1305778327

The Green Hornet จะว่าไปก็มีโครงคล้าย Batman น่ะครับ และผมว่าถ้าเอามาจัดทำดีๆ มันจะเล่นได้ทั้งเรื่องดราม่า และแอ็กชันมันส์ๆ เลยล่ะครับ แต่นี่ผลที่ได้กลับออกมาเป็นหนังเบาๆ เรื่องหนึ่ง ตัวเอกก็คือ บริทท์ รี๊ด (Rogen) เพลย์บอยที่พ่อเพิ่งเสียชีวิตไป ซึ่งบริทท์เองก็ไม่ได้รักพ่อเท่าไรหรอกครับ เขาคิดเสมอว่าพ่อใจร้ายและไม่สนใจลูก แล้วในเวลาต่อมาเขาก็ได้เจอกับ เคโต้ (Chou) คนรับใช้ในอุปการะของพ่อ ที่เก่งทั้งกังฟูและการประดิษฐ์สิ่งของ แล้วไปๆ มาๆ พวกเขาก็เกิดไอเดียอยากออกไปต่อสู้กับเหล่าร้ายครับ ค่อยๆ สร้างฮีโร่หน้ากากแตนให้เกิดขึ้น เพื่อข่มขวัญพวกนอกกฎหมายในเมือง

และการมาของหน้ากากแตนก็เท่ากับไปเหยียบตรีนของเจ้าพ่อประจำเมืองอย่าง เบนจามิน ชัดนอฟสกี้ (Waltz) เข้าเต็มเท้า พี่ท่านก็เลยพล่านล่าหน้ากากแตนครับ ซึ่งก็คงพอเดาได้เน้อะ ว่าตอนท้ายพวกพี่แกก็ต้องมาตีกัน ตามสูตรเป๊ะ

อย่างที่บอกครับ โครงเรื่องน่ะเล่นอะไรได้เยอะมาก ไม่ว่าจะปมพ่อลูกระหว่างบริทท์กับพ่อ, ปมที่บริทท์ต้องมารับตำแหน่งแทนพ่อ, ปมการเป็นตัวแทนของสื่อมวลชน, ปมพี่น้องต่างชาติกำเนิด แต่มีคนดูแลคนเดียวกันอย่างบริทท์กับเคโต้, ปมชิงนาง หรือตัววายร้ายของเรื่อง ก็ดูจะมีมิติ มีอะไรน่าสนใจ แต่ไปๆ มาๆ หนังกลับเล่นง่าย ไม่เล่าอะไรที่มันซับซ้อนเลย จนตัวหนังออกจะง่ายไปในหลายๆ ช่วง ไม่ว่าจะการตัดสินใจเป็นนักปราบอธรรมของบริทท์ ที่ดูไม่ชัดว่าอะไรมันดลใจ จะว่าทำเพื่อพ่อ (ที่จากไป) ก็ไม่ใช่ หรือทำเพื่อพิสูจน์ลบปมตัวเอง นี่ก็ไม่เชิง เท่าที่ดูมันออกแนวเด็กซนๆ ที่อยากเล่นสนุกมากกว่า

ตัว บริทท์นั้นก็ออกแนวเพลย์บอยตลอดครับ จนจบเรื่องก็ไม่ค่อยจะรู้สึกว่าพี่ท่านเติบโตขึ้น มีหรือความรับผิดชอบอะไรมากขึ้น ซึ่งอันนี้ออกจะตะขิดตะขวงใจในฐานะที่ดูเวอร์ชั่นต้นฉบับมาก่อน เพราะบริทท์ของเดิมน่ะ เท่ห์นะครับ ฉลาดเอามากๆ อย่างเช่น เหตุผลที่ตัวบริทท์ในเวอร์ชั่นต้นฉบับ ตัดสินใจประกาศตัวเป็นพวกนอกกำหมาย ก็เป็นแผนที่จะทำให้เขาได้แทรกซึมไปในโลกอาชญากรได้ลึกขึ้น แบบที่คนในกฎหมายทำไม่ได้ ซึ่งนั่นจะทำให้เขากำจัดพวกมันได้แบบถอนรากถอนโคน และแม้เขาจะไม่ได้เก่งวรยุทธ์เท่าเคโต้ แต่เขาก็มีสมองครับ ฉลาดในการระวังภัย ดูเท่ห์มากๆ

ก็พอเข้าใจว่าฉบับนี้อยากปรับลุคน่ะครับ แต่เป็นการปรับที่ทำให้พระเอกมีความเป็นพระเอกน้อยลงยังไงก็ไม่รู้

ส่วนเคโต้เอง ตอนแรกก็นึกว่าจะมาเป็นคนดึงให้บริทท์เข้าใจการกระทำของพ่อมากขึ้น หรือมาเตือนให้บริทท์ตระหนักถึงความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่อะไรประมาณนั้น แต่ปรากฏว่าก็พอกันครับ

ดูๆ ไปก็คิดนะครับ เหมือนหนังจะทำการเสียดสีสะกิดพ่อแม่ผู้ปกครองที่พยายามจะทำสิ่งดี ช่วยเหลือโลก ช่วยเหลือเมือง แต่ดันลืมดูแลลูกตนเองให้เป็นคนดีมีความคิดที่เหมาะสม ให้โตขึ้นอย่างมีวุฒิภาวะ และยืนหยัดอย่างมั่นคง แบบที่พ่อของบริทท์ทำน่ะครับ ทำสิ่งถูกต้อง แต่กลับลืมหล่อหลอมลูกอย่างถูกต้อง จนลูกต้องมาวิ่งหาจุดยืนที่ถูกต้องด้วยตนเองแบบลองผิดลองถูกแทน… มองแบบนี้ค่อยรู้สึกบวกกับหนังขึ้นมาหน่อย

รู้สึกบวก… แต่ความสนุกของหนังก็เท่าเดิม คือ กลางๆ พอเพลินๆ เอิ้กๆๆ

ดาราเจ้าอื่นก็มาเป็นบทสมทบครับ Diaz ก็ไม่ค่อยได้ทำอะไร หรือ Waltz ที่น่าจะมาเด่นในบทวายร้าย ก็ไม่เด่นอีกเช่นกัน ไปๆ มาๆ ดันออกมาต๊องสติแตกไปกับพวกพระเอกอีกด้วย จริงๆ ถ้าพี่ท่านนิ่งๆ ตอนแรก แล้วค่อยๆ ใช้สมองมาเล่นงานกับหน้ากากแตนนี่ ผมว่าจะเด็ดนะมากนะครับ แต่นี่ดันบ้าแทน เฮ่อ เสียดายของจริงๆ ได้นายพลฮานส์ แลนดาแห่ง Inglourious Basterds มาใช้งานแท้ๆ ดันใช้แค่เนี้ย รายที่เหมือนจะรอดตัวได้คงมีแค่ Tom Wilkinson ดาราลายครามที่มาแสดงเป็นพ่อของบริทท์น่ะครับ ขานี้ถนัดนักล่ะ กับบทคนเจ้าอารมณ์ทำนองนี้

ถ้าเราไม่คิดมากเรื่องบทนะครับ คิดว่าเป็นหนังเอาเพลินสักเรื่อง มันก็โอเคน่ะ มุขตลกก็มีทั้งขำและแป้กแต่โดยรวมๆ ก็โอเค แอ็กชันก็พอไหว มันส์ใช้ได้… ก็ปรับความคาดหวังหน่อยน่ะนะครับ จะได้รู้สึกบวกกับหนังมากขึ้น

ดูจากตัวหนังและรายได้แล้ว โอกาสมีภาคต่ออาจไม่มากครับ ยิ่งในยุคที่หนังแนวบัดดี้ฮีโร่กำลังอัพเกรดตัวเอง ให้มีทั้งความมันส์ มีบทที่น่าติดตาม (อย่าง Fast Five) ถ้าเรื่องไหนยังทำแค่พอขำพอเพลิน มันก็ยากที่จะไปต่อได้น่ะครับ จริงๆ ผมลุ้นนะ อยากให้พี่เจย์ โจวเนี่ยดังเหมือนกัน เพราะพี่แกเก่ง ความสามารถเยอะ แต่กับเรื่องนี้… กลับไม่ค่อยพริ้วเท่าสมัยที่แกทำ MV เองเลยแฮะ

ถ้าจะมีอะไรที่ผมยกนิ้วให้กับหนังเรื่องนี้ ก็คงเป็นธีมต้นฉบับ (ที่ Kill Bill Vol 1 เคยเอาไปใช้น่ะครับ) ที่ทำนองสุดยอด พริ้ว มันส์เป็นอมตะจริงๆ… ส่วนหนังฉบับนี้ แตนออกแนวเมาไปหน่อยครับ บินไม่ตรงเป้า ร่อนไปทั่ว แต่ไม่ต่อยแบบโดนเป้าเท่าที่ควร ทั้งๆ ที่ในตัวหนังเองมีหลายเป้ามากๆ ที่น่าต่อยให้หนักๆ คนดูจะได้ประทับใจหนักแรงๆ แบบที่ The Dark Knight ทำได้มาแล้ว

สองดาวครับ

Star21

(6/10)