นึกไม่ถึงเหมือนกันนะครับ ว่าหนังชุด “สะบายดี” จะยาวมาถึง 3 ภาคแล้ว
ให้ว่าตามจริง หนังชุดสะบายดีนี่ไม่ถึงกับเป็นหนังที่ต้องดูหรือห้ามพลาด แต่สำหรับผมเองนั้นชอบเพราะดูภาคแรกแล้วรู้สึกดีครับ รู้สึกรักในความเรียบง่ายของหนัง ชอบบรรยากาศสวยแบบธรรมชาติของประเทศลาว อีกทั้งพระเอกนางเอกก็ดูมีเสน่ห์ในแบบของตนเองดี ครั้นมาภาค 2 แม้จะชอบน้อยลง เพราะตัวหนังยังขาดๆ ไปในบางอย่าง (เช่น สาระหรือประเด็นดีๆ ที่จะเพิ่มคุณค่าให้หนังได้) แต่อย่างน้อยหนังก็ยังพอสนุกได้กับมุขตลกและดาราที่แสดงบทของตัวเองได้อย่างน่าพอใจ
ส่วนภาค 3 นี้ก็เป็นเรื่องราวใหม่นะครับ ตัวเอกคือ เชน (บอย – ปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์) หนุ่มไทยที่เคยมาทำงานในลาวเมื่อ 6 เดือนก่อน และเขาก็ได้พบกับ คำ (คำลี่ พิลาวง) สาวลาวแสนสวยและน่ารัก พวกเขามีความรู้สึกที่ดีต่อกันจนเชนเดินทางกลับมาหาเธออีกครั้งตามสัญญา แต่แล้วก็มีเรื่องไม่คาดฝันทำให้เชนและคำต้องเข้าพิธีวิวาห์กันแบบกะทันหัน และนั่นล่ะครับคือจุดเริ่มของ “วันวิวาห์”
จริงๆ หนังมีโอกาสดีมากๆ ในการเล่นกับประเด็นว่าด้วยชีวิตคู่นะครับ อย่างการที่เชนกับคำต้องแต่งงานโดยที่จริงๆ ทั้งคู่ยังไม่พร้อมถึงขั้นจะมาใช้ชีวิตร่วมกัน (ก็พวกเขาเพิ่งรู้จักได้ไม่ถึงปีเท่านั้นนี่ครับ) ดังนั้นความสับสนทางอารมณ์ที่เกิดขึ้น มันจะเป็นการเปิดโอกาสให้พวกเขา (และบทภาพยนตร์) ได้ทำการสำรวจชีวิต สำรวจความหมายของความรักได้ ซึ่งระหว่างที่พวกเขาสำรวจกันในหนัง คนดูอย่างเราๆ ก็พลอยได้ย้อนมาดูและสำรวจตัวเองด้วยเหมือนกัน แต่ก็น่าเสียดายครับที่หนังไม่ได้เป็นแบบนั้น เพราะหนังกลายเป็นลงอีหรอบสูตรสำเร็จของหนังรักทั่วๆ ไปแทน
โดยส่วนตัวแล้วผมก็ไม่ได้รู้สึกอะไรมากกับภาคนี้นะครับ คือไม่บวกและไม่ลบ ตัวหนังดูไม่มีอะไรหวือหวา ดูติดดินธรรมดา ไม่มีการปรุงอารมณ์ ไม่มีทิวทัศน์ใหม่ๆ มานำเสนอ ซึ่งไม่แปลกครับหากหลายคนดูแล้วจะนิ่งหรือรู้สึกไม่ชอบเพราะหนังดูไม่ค่อยตอบสนองในเรื่องความบันเทิงสักเท่าไร แต่สำหรับผมแล้ว อย่างที่บอกครับว่าชอบความง่ายของหนัง ตอนดูเลยพอจะรับได้กับความนิ่งเนิ่บของเรื่องราว อันนี้เลยต้องบอกไว้ก่อนครับว่าหนังมันไม่ได้หลากรสหรือชวนติดตามแบบหนังบันเทิงทั่วๆ ไป
แต่แม้จะรับได้กับความเนิ่บนิ่ง ทว่าก็ยังเสียดายไม่หายครับ เพราะหนังไม่ได้จับประเด็นน่าสนใจเกี่ยวกับความรัก การแต่งงานกะทันหัน หรือชีวิตคู่มาบอกเล่าสักเท่าไร แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือหนังดำเนินไปตามสูตรสำเร็จ ที่แท้พระเอกนางเอกจะยังไม่แน่ใจว่าพวกเขาจะแต่งงานกันดีไหม แต่รอจนกระทั่งซีนสุดท้ายเดี๋ยวพวกเขาก็จะแต่งงานกันเองแหละ ไม่มีอะไรเกินคาดเดาจริงๆ ครับ
จริงๆ จะเดินตามสูตรก็ไม่ว่ากันครับ แค่เขียนบทให้คนดูอินและคล้อยตามไปกับเรื่องราว ให้คนดูเข้าใจว่า “อ๋อ เชนกับคำเขาเข้าใจกันเพราะอะไร สิ่งใดที่เชื่อมใจพวกเขาไว้ได้” ไม่ว่าจะเป็นเพราะสิ่งของหรือสถานการณ์ แต่ที่หนังเป็นนั้นคือพวกเขายอมแต่งงานกันเมื่อหนังใกล้จบ เรียกว่า “แต่งตามเวลา” มากกว่าจะเป็นการ “แต่งตามจิตใจของทั้งสองฝ่าย ที่เข้าใจว่าพวกเขานั้นรักกันและห่างกันไม่ได้”
ว่าไปแล้ว ผมว่าหนังไม่จำเป็นต้องลงสูตรก็ได้ครับ ลองว่าสไตล์มันติดดินนอกกรอบมาขนาดนี้ หากจะทำเป็นหนังโรแมนติกผสมชีวิตที่เน้นการค้นหาสาระแห่งรักมากกว่าจะเน้นเรื่องสูตรหรือเน้นความขำ แบบนั้นหนังอาจมีความต่างที่น่าสนใจแบบที่ภาคแรกเคยทำไว้น่ะครับ ที่ถึงแม้จะลงสูตร แต่ก็ยังมีประเด็นดีๆ มีอารมณ์ของตัวละครที่ดูสอดคล้องกับสูตรนั้นๆ ในขณะที่ภาคนี้ด้านปม ด้านอารมณ์ของตัวละครยังไม่น่าสนใจพอ
สรุปว่าความเนิ่บของหนังไม่ใช่ปัญหาครับ แต่ปัญหาคือเนื้อในไม่มีอะไรมากนัก ซึ่งคล้ายกับภาคที่แล้วครับ ที่พล็อตหนังน่ะมันเปิดโอกาสให้ใส่สาระลงไป แต่สุดท้ายก็ไม่มี
แต่หากเรามามองนอกรอบ ปมในหนังก็น่าคิดดีนะครับ มันน่าคิดตั้งแต่ว่าอะไรทำให้คนสองคนรู้สึกดีต่อกัน… เพราะหน้าตา? เพราะคารม? เพราะจังหวะที่ทั้งสองรู้จักกันในสภาวะอารมณ์ที่พอเหมาะพอดี เลยเกิดความประทับใจต่อกัน? หรือเพราะความผูกพันต้องชะตากัน?
อาจไม่มีคำตอบที่ถูกที่สุดครับ เพราะคู่รักแต่ละคู่ย่อมมีจุดเริ่มแห่งการสปาร์กทางใจที่ต่างกันไป ซึ่งมันก็เช่นเดียวกับรูปแบบความสัมพันธ์หลังจากคบหากันไปแล้วนั่นแหละครับ ที่ต่างคู่ก็มีรายละเอียดต่างกัน ไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว โดยที่แต่ละคู่นั้นจะไปกันรอดไหม ก็ขึ้นอยู่กับพวกเขานั่นแหละครับที่จะช่วยกันประคับประคอง ช่วยกันเรียนรู้กันและกันมากน้อยแค่ไหน หรือเอาแต่ใส่ใจเรื่องของตัวเองจนไม่สนใจอีกฝ่าย แบบนั้นความรักที่มีก็อาจหมดอายุลงได้ทุกเมื่อ
อันที่จริงตัวเชนนั้นมีความน่าสนใจนะครับ เอาแค่ความสับสนว่า “ตกลงเรารักคำจริงๆ หรือเราแค่แต่งเพราะความจำเป็นกันแน่?” นี่ก็เล่นเป็นประเด็นได้พอสมควรแล้ว หรือตัวคำก็เหมือนกันครับ ในฐานะที่เธอคือผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังจะฝากชีวิตนับจากนี้ไป กับผู้ชายอีกคนที่เพิ่งรู้จักได้แค่ไม่กี่เดือน ซ้ำยังเป็นชาวต่างชาติด้วย แล้วเธอควรรู้สึกยังไง ควรคิดเช่นไร และควรทำอะไรสักอย่างเพื่อทบทวนให้ถี่ถ้วนกว่านี้ไหม หรือแค่ปล่อยให้มันเลยตามเลยตามความต้องการของผู้ใหญ่?
พิธีวิวาห์หรือการแต่งงาน แท้จริงคือสัญลักษณ์สำคัญที่ใครก็ตามที่ตระหนัก พร้อม และรู้ใจตัวเองดีแล้วว่า “เขาและเธอจะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน” ใช้มันเป็นก้าวแรกแห่งการใช้ชีวิตคู่ แต่ความหมายของพิธีได้เปลี่ยนไปในหลายวาระครับ เช่นบางคนแต่งงานตามความต้องการของพ่อแม่ บางคนก็แต่งเพราะอยากและ “คิดไปว่าเราพร้อมแล้ว” จนทำให้หลายคนต้องมาทำอีกพิธีหนึ่งในเวลาต่อมา นั่นคือ “พิธีหย่า” นั่นเอง
ดังนั้นก่อนที่ใครจะแต่งงานกับใครสักคน สิ่งที่ควรทำเป็นอันดับแรกอาจไม่ใช่การหาเช่าชุด เช่าสถานที่ จองโต๊ะ หรือออกแบบการ์ด… แต่มันควรเป็นการถาม ทบทวน และใคร่ครวญให้ดีเสียก่อนว่า เรากำลังจะทำสิ่งที่ “ใช่” จริงๆ หรือเรากำลังทำไปด้วยอารมณ์เชิงบวก (สุดๆ) ที่ไม่พร้อมจะมองอะไรให้รอบด้าน
ตัวหนังมาพร้อมความยาวไม่ถึง 80 นาทีครับ สั้นมาก จนอดคิดไม่ได้ว่าถ้าหนังใส่อะไรต่อมิอะไรที่มันดีๆ มีสาระชวนคิด ไม่แน่ว่าหนังเรื่องนี้อาจกลายเป็นผลงานสำรวจ “ความรัก” ที่เข้าไปอยู่ในอ้อมอกอ้อมใจของใครหลายๆ คนก็ได้
สองดาวครับ
(6/10)
หมวดหมู่:รีวิวหนัง/ภาพยนตร์, หนังไทย (Thai Movies), Comedy, Drama, Romance