ภาคนี้ตอนฉายโรงได้รับคำชมจนอ่วมอรทัยไปเลยนะครับ 555 ซึ่งตอนนั้นตัวผมก็ยอมรับว่าไม่ถึงกับอยากดูมาก ไว้รอแผ่นก็ได้ ครั้นพอดูแล้วก็… ก็ขอบอกเนิ่นๆ เลยว่าที่ผมจะเขียนต่อไปนี้ก็คงไม่ได้ช่วยสมานแผลให้กับหนังสักเท่าไร
แน่นอนว่าใครที่รู้สึกดีกับหนังเรื่องนี้แล้วไม่อยากอ่านอะไรที่ทำให้หนังอ่วมไปมากกว่านี้ ก็ขอแนะนำให้ข้ามรีวิวนี้ไปได้เลยครับ
คราวนี้บทกำหนดให้ช้างหายอีกแล้วครับ พี่ขาม (พนม ยีรัมย์) ตามหาช้างอีกแล้ว ส่วนพี่มาร์ค (พี่หม่ำ) ตำรวจแห่งซิดนี่ย์จากภาคแรกก็ถูกส่งมาเพื่อทำคดีใหญ่คดีหนึ่ง แล้วทั้ง 2 ก็ได้มาเจอกันอีกครับ ขณะเดียวกันขามถูกทางการสงสัยว่าเป็นผู้สังหารเสี่ยคนหนึ่งเข้า ทำให้การหาช้างและพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของเขาดำเนินไปพร้อมกัน
คือในแง่ของบทนั้นผมว่าหนังพยายามจะใส่อะไรลงไปให้มันซับซ้อนนะครับ แต่สารภาพว่ามันดูแล้วรู้สึกล้นจนออกแนวเลอะมากกว่า
ต้มยำกุ้ง ภาคแรกนั้นผมไม่ถึงกับชอบอะไรนัก ถือว่าดูได้เพลินๆ แต่พอมาดูภาค 2 เท่านั้นล่ะเป็นอันรักภาคแรกมากขึ้นในบัดดล คือภาคแรกแม้บทจะอ่อนแต่มันก็อ่อนแค่เรื่องบทกับการตัดต่อและความน่าติดตามที่ยังเยอะได้อีก ทว่าในส่วนของแอ็กชันมันน่าพอใจนะ โลเกชั่นที่ไปถ่ายมันก็ดูแปลกตาและดูลงทุน หรือกระทั่งตัวร้ายก็ยังดูมีอำนาจบารมีและมีคาแรคเตอร์ให้จดจำ
ในขณะที่ภาค 2 นี่ บอกตามตรงครับว่าให้อารมณ์เหมือนหนังแผ่น หรือไม่ก็หนังแอ็กชันเกรดบี (เรื่องที่ผุดขึ้นมาในหัวเลยคือBloodfist ที่สร้างโดย Roger Corman เจ้าพ่อหนังเกรดบีของอเมริกา) การเดินเรื่องมันดูมั่วๆ กระจัดกระจาย และโลเกชั่นในหนังภาคนี้จะเน้นไปที่ห้องอับๆ อาคารเก่าๆ สีลอกๆ และใต้ถุนตึกมืดๆ ซึ่งยิ่งให้อารมณ์หนังเกรดบีหนักเข้าไปใหญ่ครับ แม้จะมีฉากเด็กแว็นท์ยกพลแบบอลังการกลางกรุงก็ตาม แต่มันก็ไม่ได้ช่วยให้ภาพของหนังดูเข้าท่าขึ้นสักเท่าไร คือถ้าจะเรียกว่าลงทุนผิดจุดก็คงได้น่ะครับ
พูดถึงฉากมอเตอร์ไซค์นี่ก็อีก ผมอุทานในใจขึ้นมาตอนดูเลยครับว่า “มอเตอร์ไซค์อีกแล้วเหรอ?” คือจำได้ว่าฉากบู๊ในภาคแรกก็มีมอเตอร์ไซค์ไล่ชนเหมือนกันตอนขามไปเอาเรื่องจอห์นนี่แล้วโดนรุมครั้งแรก ซึ่งครั้งนั้นผมก็คิดในใจนะว่าการใช้มอเตอร์ไซค์สู้เนี่ยมันไม่ฉลาดเท่าไร ปกติก็ชนะพี่ขามยากอยู่แล้ว พอมาขับมอเตอร์ไซค์ในที่แคบๆ อีก ผมว่าผู้ร้ายที่ขับมอเตอร์ไซค์ไล่นี่เสียเปรียบกว่านะ
ถ้าคิดในแง่ความจริง การใช้มอเตอร์ไซค์บู๊นี่มันยากนะครับ เพราะ 2 มือคุณยังไงก็ต้องจับแฮนด์เพื่อบังคับทิศทางและประคองไม่ให้รถล้ม คุณทำได้แค่ชนหน้ากับสะบัดท้าย แต่โอกาสพลาดน่ะสูง และถ้าอีกฝ่ายโต้กลับด้วยการชกหรือเกาะเสากระโดดยัน คุณจะทำอะไรไม่ได้เลย จะยกมือกันรถก็มีแต่เสียหลักเท่านั้นเอง ว่าง่ายๆ คือคนขับมอเตอร์ไซค์บู๊น่ะเสียเปรียบเยอะอยู่ครับ เพราะอวัยวะที่ใช้เตะต่อยของคุณไม่สามารถใช้งานได้เลย และไม่สามารถกระทั่งยกมาป้องกันตัวเองด้วย
คือการเอารถยนต์ไล่ชนนี่เข้าใจ เพราะคุณอยู่ในรถ รถมันคันใหญ่ มันยากจะโดนสวนกลับ ค่อนข้างปลอดภัยน่ะว่างั้นเถอะ อีกฝ่ายยิงปืนมาก็ยังมีกระจกช่วย แต่กับฉากที่ใช้มอเตอร์ไซค์ก็พอเข้าใจครับว่าใช้รถไล่ล่าไม่ได้หรอก มันแคบมันเล็ก แต่ประเด็นคือการใช้มอเตอร์ไซค์สู้มันยาก แล้วนี่ยังปีนไปตีบนยอดตึก คือถ้าพลาดก็ตกมาสาหัสอีก แล้วตอนตกนี่จะคว้าอะไรก็ไม่ทันเพราะมือยังคาอยู่ที่แฮนด์ อันตรายหนักกว่าเดิม
และถ้าคุณตกตึกอันเนื่องจากแรงพุ่งของรถ คุณจะพุ่งไปไกลจากขอบตึกมากครับ ว่าง่ายๆ คือลงมาแถวๆ กลางถนน ไม่มีอะไรให้เกาะ เสี่ยงโดนรถชนอีก และตัวกระแทกคอนกรีตแน่ๆ แต่ถ้าเป็นสู้มือเปล่า ต่อให้ตกตึกก็ยังพอใช้มือคว้าได้ เพราะยังไงมันก็ไม่พุ่งไปไกลจากตัวตึกมาก ก็ยังพอมีโอกาสคว้าระเบียงหรือสายไฟได้ ปลอดภัยจะฉลาดกว่ากันเยอะ
บางฉากนี่ดูก็รู้ว่าทำอะไรพี่ขามไม่ได้หรอก อย่างพี่เด็กแว้นท์ 2 คนที่ขับรถวนทำทักษิณานุวัตรรอบตัวพี่ขาม วนๆๆๆ ซึ่งพวกพี่แกก็วนได้อย่างเดียว จะไปเอาหมัดออกมาซัดพี่เขาไม่ได้ เพราะต้องจับแฮนด์ ขืนปล่อยขณะวนก็เสี่ยงเสียหลักและพุ่งหลาวเท่านั้นเอง นั่นเลยทำให้พี่ขามแกกระชากคอเสื้อคนขับทั้ง 2 คนจัดการได้อย่างไม่ยาก ประมาณว่าอยากวนใช่ีไหม เอ้า จัดให้ พี่แกเลยช่วยเหวี่ยงให้วนแบบสาใจ จนสุดท้ายพี่ทั้ง 2 ก็คุมรถไม่ได้ เสียหลักวืดทั้งคู่
อันนี้ยอมรับพี่ขามฉลาดที่ไม่บ้าขี่มอเตอร์ไซค์ตามพวกนั้น รอจนลงมาบนพื้นถนนค่อยขี่ หรือนี่หนังจะแอบแทรกสาระเรื่องวินัยจราจรและการขับขี่ปลอดภัยกันล่ะหนอ
ที่เขียนไปนั้นคือว่ากันถึงบทที่กำหนดให้เกิดการบู๊แบบนั้นที่มันดูไม่เร้าใจ ไม่ตื่นเต้น ดูโล่งโถง แต่กับทีมสตันท์ทุกคนในเรื่องนี่ผมชื่นชมนะ คือพวกพี่ทุ่มเทจริงๆ เล่นได้ดูทุ่มทุนและเสี่ยงตายแบบทุ่มเทมาก เรื่องนี้ผมไม่มีคำติใดๆ เพราะพวกพี่หัวใจเกินร้อย กล้าจริง เล่นจริง เจ็บจริง น่าชื่นชมและน่ายกนิ้วครับ แต่ที่ร่ายไปทั้งหมดก็เพราะเสียดายครับ ความทุ่มเทของพวกพี่ควรไปอยู่ในฉากหรือซีนที่คุ้มค่ามากกว่านี้
เหมือนพี่จาน่ะครับ ความสำเร็จของเขาก็เพราะเขาทุ่มเทมาก แสดงจริงลุยจริงในฉากที่คุ้ม ในซีนที่มันน่าจดจำ อย่างองค์บากภาคแรกนี่ฟอร์มสดมาก แต่ละฉากนี่มันใช่ มันมันส์ มันดูสมจริง ซึ่งผมก็เชื่อว่าสิ่งที่หลายคนอยากเห็นจากหนังพี่จา (และหนังบู๊ทุกเรื่องที่มาในแนวออกแรงแลกหมัดแบบนี้) ก็คือฉากแสดงศิลปะป้องกันตัวที่เร้าใจ ฉากโลดโผนที่ให้ทั้งความสนุกและลีลาพริ้วไหว
อันที่จริงหนังแอ็กชันไม่จำเป็นต้องบู๊เยอะ แต่ขอให้แต่ละซีนที่บู๊นั้นมันตื่นเต้น มันกระตุ้นอะดรีนาลีน และยิ่งเรื่องไหนมันบู๊เยอะด้วย กระตุ้นให้เลือดสูบฉีดด้วย (แบบ องค์บาก ภาคแรก และThe Raid) นั่นยิ่งเจ๋งเข้าไปใหญ่ แต่จุดสำคัญคือฉากบู๊มันต้องบู๊กันให้เหมาะ บู๊กันให้มัน และต้องบู๊กันให้สวย ไม่ว่าจะสวยเพราะนักแสดงที่ออกลวดลายหรือสวยเพราะการวางมุมกล้องก็ตาม แต่ยังไงของแบบนี้มันก็ต้องมีการคิดประดิษฐ์ให้ดีในระดับหนึ่ง มันถึงจะโดน
ถ้าความมันส์มันบังเกิดได้เพียงเพราะแค่การต่อยและเตะล่ะก็ เช่นนั้นหนังบู๊ทุกเรื่องไม่ว่าจะเกรดไหนมันก็ต้องมันส์ไม่ต่างกันไปแล้วล่ะครับ
สารภาพว่าเป็นการดูหนังบู๊ที่นิ่งมากครับ ในครึ่งแรกนี่นิ่งจริงๆ มาสนุกนิดๆ ตอนฉากที่ขามตีกับ No. 2 แต่นอกนั้นคือ… เหมือนดูหนังแอ็กชันลงแผ่นน่ะครับ ฉากส่วนมากก็ชอบถ่ายยามค่ำที่มองอะไรไม่ค่อยจะเห็น การตัดต่อฉากสู้บางทีก็ดูไม่รู้เรื่อง คนละอย่างกับองค์บากภาคแรกที่มันจับภาพได้ดูมุมกว้าง เห็นฉากบู๊หรือฉากสตันท์แบบเต็มๆ ไม่มีกั๊ก
ในด้านบทนั้น… จริงๆ น่าจะเลิกเอาช้างมาเป็นแกนหลักได้แล้วนะครับ ยังแอบคิดเลยว่าทำไมไม่เอาให้จ่ามาร์คโดนเล่นงาน หรือโดนล่าระหว่างปฏิบัติหน้าที่ในเมืองไทย แล้วก็ให้ขามยื่นมือเข้าช่วย จากนั้นก็ประกบทำเป็นคู่หู คนหนึ่งบู๊คนหนึ่งฮามันก็น่าจะได้ แม้จะลงสูตรแต่หนังดีๆ หลายเรื่องก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ลงสูตรก็สนุกได้ ขอเพียงทำดีซะอย่าง ต่อให้สูตรซ้ำๆ มันก็ยังดูสนุก (และแน่นอนว่าโกยเงิน)
ไปๆ มาๆ ฉากบู๊ที่ประทับใจก็มีตอนตีกับหมายเลข 2 และไปอีกทีก็ตอนไคลแม็กซ์ที่ตีกันกลางไฟน่ะครับ อันนั้นชอบ เจ๋งดี
แต่ตอนสู้บนรางรถไฟเนี่ย คือ… พี่ทำอะไรกันครับ สู้แล้วไฟช็อตกันเอง แล้วยังเสี่ยงโดนรถไฟชนอีก คือถ้ามันเป็นที่แคบๆ ก็พอจะเข้าใจ แบบไปตีกันตรงตลาดร่มหุบเงี้ย แบบนั้นโอเค มันแคบ มันไปไหนไม่ได้ เลยต้องสู้กับตรงราง แต่ฉากที่ว่านี่กว้างมาก แล้วพี่จะไปสู้กันตรงนั้นให้กระแสไฟมันสปาร์คตัวเองทำไม
ระหว่างสู้ก็มีเสียงงึมๆๆๆ ถ้าไม่ดูผมคงนึกว่าเจไดใช้ดาบเลเซอร์ตีกันอยู่นะนั่น
จริงๆ ในหนังมีของดีเยอะครับ ดาราก็บู๊คุณภาพนะ จะพี่จาหรือจีจ้านี่ก็เก่งจริงทั้งนั้น แต่ใช้งานไม่คุ้ม หรือดาราคุณภาพอย่างคุณญาญ่าหญิงนี่ก็มีฝีมือ จะว่าไปเธอเล่นได้ดูเด่นมากที่สุดครับ ในขณะที่พี่หม่ำดูจะบทโดนลดลงไปเยอะ และอีกคนที่ขโมยซีนคือพี่ซูโม่ตู้น่ะครับ แปลซับไทยได้ฮาจริงๆ
โดยรวมแล้วน่าเสียดายครับ มันไม่ใช่อะไรที่คิดว่าจะออกมาแบบนี้เลย ภาคแรกสนุกกว่ามาก อันที่จริงคือทุกภาคขององค์บาก และบอดี้การ์ดหน้าเหลี่ยมภาคแรก ยังสนุกกว่ามากๆ
ได้แต่ภาวนาให้การเดินทางไปฮอลลีวู้ดของพี่จา จะเป็นการกู้ศรัทธากลับมาอีกครั้ง
ไม่ถึงสองดาวครับ
(5/10)
หมวดหมู่:Action, รีวิวหนัง/ภาพยนตร์, หนังไทย (Thai Movies)