การผจญภัยครั้งที่ 3 ของนายริดดิคที่กลับมาได้เพราะความรักที่พี่ Vin Diesel แกมีต่อบทนี้แท้ๆ ครับ รักถึงขนาดยอมกลับมารับบทดอมในจักรวาล Fast & Furious เพื่อแลกกับการเป็นเจ้าของสิทธิ์ในบทริดดิค จากนั้นก็จูงมือผู้กำกับ David Twohy ที่ถือว่าสร้างชื่อมาพร้อมๆ กันจาก Pitch Black มาช่วยกันสานตำนานบทที่ 3 ของชายในความมืดคนนี้
สไตล์ของภาคนี้ถือว่า “กลับมายืนที่เดิม” ครับ หลังจากลงทุนไปร้อยล้านเพื่อเนรมิตความอลังให้กับหนังภาคที่แล้ว (The Chronicles of Riddick) แต่ก็ทำเงินไม่เข้าเป้านัก คราวนี้เลยนำเสนอในแบบหนังไซไฟ ระทึกขวัญ มีแอ็กชันเจือแบบพอดีๆ ใช้ทุนไม่สูง (ราว 38 ล้านเหรียญ) ประมาณเดียวกับ Pitch Black น่ะครับ ตัวละครไม่เยอะ ฉากส่วนมากก็เป็นดาวรกร้างล้อมด้วยทะเลทรายและหินผาไม่ต้องตกแต่งอะไรเพิ่มมากมาย และจะไม่เน้นอลังหรือเทคนิคพิเศษ แต่จะเน้นไปที่ “ไหวพริบ เหลี่ยมเล่ห์ และความร้าย ของผู้ชายที่ชื่อริดดิค”
เรื่องมันเริ่มหลังจากริดดิค (Diesel) โดนพวกเนโครมองเกอร์สหักหลังครับ หลอกมาหวังฆ่าทิ้ง แต่คนอย่างที่ริดดิคแกไม่ยอมตายง่ายๆ เลยรอดมาได้ แล้วก็หาทางดำรงชีพอยู่บนดาวรกร้างที่มีสัตว์ร้ายหลายชนิดดักรอขย้ำเขาอยู่ และเพียงไม่นานก็มีคนอีก 2 กลุ่มขับยานลงมา จุดหมายก็เพื่อล่าสังหารริดดิคให้ดับดิ้นไป พี่ริดของเราเลยต้องงัดสัญชาตญาณนักฆ่าขึ้นมาอีกครั้ง
ระหว่างดูนี่เกิดอยากตั้งชื่อเรื่องให้ใหม่ครับ เป็น “Riddick Rises” เพราะมันไม่ได้เป็นเพียงการเอาตัวรอดเท่านั้น แต่ยังเป็นการปลุกโหดฟื้นสัญชาตญาณด้านมืดของพี่แกให้ตื่นขึ้นมา หลังจาก 2 ภาคก่อนเขาค่อยๆ โหดน้อยลง เพราะได้คลุกคลีกับคนดีอยู่หลายราย ทำให้เขาหันมามี “ความเป็นมนุษย์” มากขึ้น แต่แล้วที่เขาต้องมีวันนี้ (วันที่โดนหักหลังและปล่อยให้ตาย) ก็เพราะเขามีความเป็นมนุษย์มากเกินไป
ในเรื่องก็จะมีฉากบู๊ไม่มากครับ มีเท่าที่จำเป็น ส่วนมากจะเป็นการแสดงไหวพริบความแน่ของพี่ริดมากกว่า ไม่ว่าจะตอนวางกับดักจัดการพวกนักฆ่า หรือการประจัญหน้ากับสารพัดสัตว์โหดบนดาวดวงนั้น ซึ่งหากเทียบระดับความมันส์ความลุ้นแล้ว ผมยังคงยกให้ Pitch Black เป็นที่หนึ่งอยู่ครับ เพราะเรื่องนั้นทั้งกดดัน ทั้งมันส์และตื่นเต้น การสู้กับฝูงค้างคาวฉลามก็ทำออกมาได้เร้าใจไม่แพ้หนัง Alien ส่วนเรื่องนี้บู๊ไม่มากและไม่ได้มันส์ในแบบนั้นครับ อย่างที่บอกว่ามันมันส์ในเชิงซุ่มฆ่า หาโอกาสสังหารอะไรแบบนั้นมากกว่าจะมาตีกันแบบซึ่งๆ หน้า
ดังนั้นถ้าคาดหวังความมันส์ความบู๊ผมก็อยากให้ลดระดับความคาดหวังนั้นลงนะครับ หนังเหมาะสำหรับคนที่ชอบพี่ริดดิค อยากเห็นแกโหด อยากเห็นแกเถื่อน และอยากเห็นแกเอาตัวรอด
สำหรับผมภาคนี้ก็นับว่าน่าพอใจครับ ความสนุกน่าสนใจจะอยู่ตรงพี่ริดดิคนี่แหละ ดูแกซัดกับสัตว์ร้ายแบบจะๆ (ชนิดถ้าเป็นคนอื่นทำก็คงโดนมันกินไปแล้ว) หรือดูสิ่งที่อยู่ในใจของพี่เขา ที่ค่อยๆ ถ่ายทอดให้เราได้รับรู้ทีละน้อยว่า “การเป็นริดดิคมันไม่ได้ง่ายเลย”
ผมค่อนข้างแน่ใจว่าตัวเองกำลังจะสปอยล์แล้ว ดังนั้นหากไม่อยากทราบข้ามไปอ่านดาวตามเคยนะครับ
จริงๆ สิ่งที่ริดดิคต้องเผชิญในภาคนี้ (อาจจะรวมถึงภาคที่แล้วๆ ด้วย) คือผลแห่งการกระทำ ผลแห่งการใช้ชีวิตบนแนวทางนี้ มันชักนำเขาให้เจอกับการหักหลัง การไล่ล่า การตกเป็นเหยื่อคนอื่น หรือการทำให้คนอื่นต้องตกเป็นเหยื่อตน จนดูแล้วก็อดคิดไม่ได้ว่าวงจรชีวิตที่ริดดิคดำรงนั้นก็แทบไม่ต่างจากสัตว์ร้ายน้อยใหญ่บนดาวดวงนั้น ที่จ้องแต่ละงาบ จ้องแต่จะเล่นงานกัน
ในมุมหนึ่งก็น่าเห็นใจครับ เพราะสิ่งที่ริดดิคผ่านมามากมาย มันทำให้เขาไม่สามารถหนีพ้นไปจากเส้นทางนี้ (เส้นทางแห่ง “ถ้าไม่ฆ่าก็ถูกเขาฆ่า”) ครั้นพอเขาเริ่มมีความเป็นคนมากขึ้น ก็ดันถูกคนอื่นแทงข้างหลังเสียอีก จนผมเข้าใจพี่แกยามเอ่ยออกมาว่า “เพราะเรากลายเป็นมนุษย์มากเกินไป จึงต้องมีวันนี้”
เหตุผลหนึ่งที่ผมรู้สึกชอบภาคนี้คือเราจะได้เห็นความเปลี่ยนแปลงเคลื่อนไหวทางความคิดและจิตใจของริดดิคตลอดทั้งเรื่องครับ ตอนต้นเราจะเห็นเขาหมดศรัทธาในการเป็นคน เพราะถูกหักหลังและทำร้าย เขาเลยค่อยๆ กลายเป็นริดดิคคนเก่าที่ฆ่าก่อนถามทีหลัง ไม่ไว้ใจใคร ต้องทำคนอื่นให้ตายก่อนมันจะมาฆ่าเรา
แต่จุดที่น่าสนใจคือการมาของนักฆ่ากลุ่มที่ 2 ใช่ครับในเรื่องมีนักฆ่า 2 กลุ่มลงมาบนดาว กลุ่มแรกมาเพื่อฆ่าและล่าหัวริดดิค แต่กลุ่มหลังที่นำโดยจอห์นส์ (Matt Nable) กลับมาพร้อมความลับบางอย่าง และสมาชิกหลายคนในกลุ่มนี้ก็ไม่ได้เป็นพวกคลั่งฆ่าชอบล่าผู้ใด อย่างดาห์ล (Katee Sackhoff) สาวสวยคนเดียวของหนังเรื่องนี้ (ไม่นับผู้หญิงที่โดนพวกซานทาน่าฆ่าต้นเรื่อง) เธอเองก็มีมุมมีมิติที่น่าสนใจไม่น้อย แม้เธอจะเป็นนักล่าแต่เธอก็แยกแยะได้ว่าเมื่อไรควรชักปืนและเมื่อไรควรเก็บปืน เรียกว่าไม่เอาแต่ฆ่าอย่างเดียว แต่ก็ยังคอยระวังภัยไม่ให้ใครมาฆ่าตัวเองได้
พอเรื่องดำเนินมาถึงช่วงท้ายริดดิคก็ได้เรียนรู้ว่าคนเราแม้จะมีไม่ดีอยู่มากมาย แต่ที่พอจะคุยกันได้ ช่วยกันได้ก็ยังไม่ถึงกับสิ้นไร้ซะทีเดียว
มุมมองของหมาป่าผู้เดียวดายเช่นริดดิคเข้าใจชีวิตมากขึ้นอีกขั้นหลังผ่านเหตุการณ์และเรื่องราวในภาคนี้ อย่างน้อยที่สุดเขาก็รู้ว่าจักรวาลนี้แม้จะดูมืดทึมโหดร้ายแค่ไหน มีความตายรออยู่มากเพียงใด แต่มันก็ยังมีด้านสว่าง ด้านที่ชีวิตมีความหวัง ด้านที่เปิดโอกาสให้เขาได้พักหายใจอยู่เหมือนกัน
พอดูจบผมจึงโอเคกับภาคนี้พอสมควร ดูแล้วเชื่อครับว่าทั้ง Diesel และ Twohy รักชอบตัวละครริดดิคจริงๆ เพราะพวกเขาไม่ได้พาริดดิคมาบู๊ มาล่า หรือมาฆ่าเพื่อทำเงินเท่านั้น แต่พวกเขาได้ช่วยกันพาริดดิคมาผจญภัยในสถานการณ์ใหม่ๆ อันเป็นสถานการณ์ที่ให้ประสบการณ์และการเรียนรู้บางอย่างกับตัวริดดิคเอง
ในแง่รายได้ ถือว่าโอเคครับ ลงทุน $38 ล้าน ได้คืนมา $98 ล้านจากทั่วโลก เชื่อว่าพอตอนออกแผ่นและลงเคเบิ้ลก็จะทำให้หนังเข้าโซนกำไรได้ครับ
สองดาวใกล้ครึ่งครับ
(6.5/10)
หมวดหมู่:Action, รีวิวหนัง/ภาพยนตร์, Sci-Fi, Thrillers