ในที่สุดแวมไพร์หนุ่ม เอ็ดเวิร์ด คัลเลน (Robert Pattinson) ก็ได้เข้าพิธีวิวาห์กับ เบลล่า สวอน (Kristen Stewart) พวกเขาก็ไม่รอช้าที่จะใช้เวลาให้คุ้มค่าครับ โดยการพากันไปฮันนีมูนอย่างมีความสุขที่เกาะอันแสนสวย แต่แล้วเพียงไม่ถึงเดือนเบลล่าก็พบว่าร่างกายของเธอมีความผิดปกติ…
ใช่ครับ เธอตั้งครรภ์ และเด็กในท้องของเธอก็เติบโตไวมาก ที่สำคัญคือยิ่งอายุครรภ์มากเท่าไร ร่างกายของเบลล่าก็ซูบผอมจนน่ากลัว ราวกับเด็กน้อยกำลังสูบชีวิตของเธอไป ทำให้เธอและเอ็ดเวิร์ดต้องเลือกว่าพวกเขาจะรักษาชีวิตเด็กไว้ หรือคิดถึงความปลอดภัยของเบลล่าก่อนอื่นใด
ภาคนี้โทนหนังมาแนวโรแมนติกในครึ่งแรกครับ ส่วนครึ่งหลังออกแนวหนักดราม่าแล้วผสมแฟนตาซีเข้าไปอีกหน่อย
สำหรับครึ่งแรกนั้นผมชอบในความสวยงามของโลเกชั่นครับ ฉากออกแบบมาดี ภาพงานแต่งงานดูอบอุ่นไม่เลว ใช้โทนสีขาวได้เหมาะจริงๆ เข้ากับอารมณ์ดี แต่ที่เตะตามากๆ คือเกาะที่พวกเขาไปฮันนีมูนครับ สวยมาก ห้องฮันนีมูนก็ดูดีเหลือเกิน (ชอบประตูกระจกนั่นจัง) น้ำตกงดงาม ธรรมชาติสวย ป่าเขียวสด ทะเลยามราตรีสวยงามราวไขมุกดำเปล่งประกาย มันสวยสมกับเป็นดินแดนฮันนีมูนในฝันจริงๆ ครับ ยอมรับว่าเรื่องภาพและการถ่ายวิวทิวทัศน์นี่ได้คะแนนบวกไปเลยครับ
ในช่วงแรกที่เอ็ดเวิร์ดกับเบลล่าอยู่ด้วยกันในฐานะสามีภรรยานั้น อาจไม่ตรงกับที่ผมวาดภาพน่ะครับ จริงๆ มันน่าจะได้อารมณ์ประมาณว่าฝันเป็นจริง สิ่งที่เบลล่ารอคอยมานานในที่สุดก็มาถึง มันน่าจะได้อารมณ์แบบความฝันที่เป็นจริงที่อยู่ตรงหน้าแล้วในตอนนี้ แต่อารมณ์ที่ได้กลับอยู่ในระดับเหมือนหนังรักวัยรุ่นทั่วไป
การที่ทุกวันนี้ผมยังชอบภาคแรกอยู่นั้น น่าจะเป็นเพราะดูแล้วมันให้ความรู้สึกชวนฝัน ให้อารมณ์ว่าเอ็ดเวิร์ดกับเบลล่าเป็นของกันและกัน รักกัน ห่วงหากัน เข้าใจกัน มันดูพอดีน่ะครับ ในขณะที่ภาคหลังๆ (รวมถึงภาคนี้) ยังไปไม่ถึงระดับอารมณ์เดียวกับที่ภาคแรกเคยวาดให้เรารู้สึกเอาไว้
แต่กระนั้นมันก็ยังออกมาโอเคครับ ได้บรรยากาศความสวยของโลเกชั่นช่วยอุ้มให้เกิดอารมณ์รักโรแมนติกได้ และอย่างน้อย 2 ดารานำอย่าง Pattinson กับ Stewart ก็เข้าคู่สื่อรักกันได้ดีในระดับหนึ่งครับ (ก็เขารักกันจริงๆ นี่ครับ 555)
ส่วนในครึ่งหลังนั้นหนังจะมาพร้อมความกดดัน ก็ถือว่าไม่เลวครับ จริงๆ คือมันกดดันมากในด้านภาพที่เห็น ด้านอารมณ์ตัวละครและบรรยากาศ เพียงแต่เนื้อเรื่องรายรอบยังไม่ถึงขีดพอ ไม่ว่าจะปมที่เจค็อบต้องการช่วยพวกเบลล่าโดยการตั้งท่าประจัญหน้ากับพวกหมาป่าอื่นๆ หรือการตัดสินใจที่เอ็ดเวิร์ดและเบลล่าต้องทำร่วมกัน พวกนี้มีประเด็นดีครับ แต่ความเข้นข้นชวนติดตามยังเติมเครื่องปรุงได้อีก
Bill Condon มารับหน้าที่กำกับครับ ซึ่งเขาก็มีผลงานที่ดีๆ อย่าง Dreamgirls และ Gods and Monsters กับเรื่องนี้ก็ถือว่าอยู่ในระดับกลางๆ ครับ ไม่ขี้ริ้ว พอดูได้เพลินๆ แต่ยังไม่อร่อยเต็มที่ ดารานำก็ถือว่าอยู่ในระดับกลางๆ เช่นกัน 2 พระนางก็โอเค ส่วน Lautner ก็ไม่เลวกับการแสดงออกทางอารมณ์ดุดันยันเต แต่ดาราที่โอบอุ้มหนังจริงๆ คือเหล่าบทสมทบที่แสดงดีตั้งแต่ต้นแล้วก็ยังแสดงดีจนถึงภาคนี้ ไม่ว่าจะ Billy Burke ที่ดูเป็นพ่อที่น่ารักของเบลล่ามาตลอด, Peter Facinelli ก็เป็นหัวหน้าครอบครัวคัลเลนที่มีสติครับ ดูดีจริงๆ พี่แกเนี่ย, Ashley Greene ก็เด่นเสมอในบทอลิซ แวมไพร์สาวผู้มีญาณหยั่งรู้อนาคต และคนที่ยังทำให้ผมยิ้มได้ทุกครั้งที่เห็นก็หนีไม่พ้น Anna Kendrick ครับ น่ารักเสมออีกเหมือนกัน เนี่ยครับ ดาราสมทบที่ค่อนข้างแข็งแกร่งนี่แหละที่ยังช่วยอุ้มหนังได้อยู่
จากการดูหนังเรื่องนี้ไล่เรียงมา 4 ภาค ความชอบยังคงติดอยู่ที่ภาคแรกครับที่จังหวะการเล่าเรื่องมันพอดีพอเหมาะ ส่วนภาคต่อๆ มาจริงๆ มันมีประเด็นแต่เหมือนการนำเสนอยังไม่โดน อย่างภาค 2 ก็ว่าด้วยความเสียสละของเอ็ดเวิร์ด ความอ้างว้างเจียนตายของเบลล่า (และเป็นการพิสูจน์รักแท้ของเธอ) กับการมาของเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อ ภาค 3 ก็น่าจะมีความระทึกตื่นเต้นในแอ็คชันและรักสามเส้า ส่วนภาคนี้ก็น่าจะได้อารมณ์ประมาณ “ฝันเป็นจริงแล้วนะ” กับ “ชีวิตคู่เพิ่งเริ่มแท้ๆ แต่เราจะจากกันไปแล้วหรือ” บวกกับ “ความสับสนสูงสุดของเจค็อบที่โดนความรัก ความเจ็บ ความแค้น และกรอบของเผ่าพันธุ์มาบีบเค้น” แต่ก็นั่นล่ะครับ อารมณ์เหล่านั้นมีกลิ่นอาย แต่ไม่ใคร่จะได้รับการเติมเต็ม ทำให้หนังไม่กลมกล่อมเท่าที่ควร
อดคิดไม่ได้จริงๆ ว่าถ้า Catherine Hardwicke จาภาคแรกมากำกับภาคนี้ แล้วมาแท็กทีมกับ Melissa Rosenberg คนเขียนบทคนเดิมแล้ว ผลจะได้ออกมาเป็นยังไง
ในใจยังคิดเสมอว่าหนังเรื่องนี้คือหนังสำหรับผู้หญิงน่ะครับ การที่ภาคแรกเข้าเป้าก็เพราะมีคนเก่งพลังหญิงมาช่วยกันทำ แต่ภาคหลังๆ นี่คงเพราะผู้ชายมากุมบังเหียนน่ะครับ การมองภาพหรือมุมมองทางอารมณ์มันอาจคนละแนวทางกัน
ใกล้ๆ สองดาวครับ
(5.5/10)
หมวดหมู่:Adventure, รีวิวหนัง/ภาพยนตร์, Drama, Fantasy, Romance, Vampire Movies