ความพยายามแก้มือครั้งที่สองของค่าย Warner Bros กับนิยายที่ชื่อ The Body Snatchers
นิยายเรื่องที่ว่านี่เขียนโดย Jack Finney เนื้อหาออกแนววิทยาศาสตร์ เล่าจินตนาการไปถึงสิ่งมีชีวิตจากต่างดาวที่เดินทางมาในลักษณะของเชื้อจุลชีพที่สามารถเข้าแทรกซึมแพร่เชื้อใส่ร่างกายมนุษย์ ก่อนจะจัดการทำให้มนุษย์คนนั้นตายขณะหลับ ส่วนตัวมันก็จะจำลองร่างมนุษย์คนนั้นขึ้นมาให้ตัวมันเองอยู่อาศัย
กล่าวคือถ้าสังเกตก็จะนึกว่าคนนั้นยังไม่หายไปไหนครับ ยังเดินไปเดินมารูปร่างหน้าตาเหมือนคนเดิมร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ภายในไม่ใช่คนแล้ว มันคือไอ้ตัวจุลชีพน่ะแหละ
ทีนี้พอนิยายดังดีมีชื่อ คนสร้างหนังก็ติดต่อขอไปทำ ครั้งแรกก็เมื่อปี 1956 ในชื่อInvasion of the Body Snatchers กำกับโดย Don Siegel (Dirty Harry) ก็ได้ชื่อว่าเป็นเวอร์ชั่นที่ดีที่สุดครับ ลีลาการเดินเรื่องลึกลับด้วย สยองด้วย ซ้ำยังจบได้อย่างน่าสะพรึง อีกทั้งยังมีการแทรกแนวคิดระแวงระไวคอมมิวนิสต์ลงไปในหนังด้วย (เป็นพิมพ์นิยมสมัยก่อนน่ะครับ หนังว่าด้วยมนุษย์ต่างดาวเกือบทั้งหมดมักแทรกนัยว่ามนุษย์ต่างดาวคือคอมมิวนิสต์ที่รุกรานความสงบสุข)
ฉบับต่อมาก็ปี 1978 งานนี้ได้ผู้กำกับจอมฉาว Philip Kaufman นำแสดงโดย Donald Sutherland, Brooke Adams, Jeff Goldblum, Veronica Cartwright และ Leonard Nimoy ก็ถือว่าเป็นหนังไซไฟคลาสสิกอีกเรื่องเหมือนกันครับ สนุกสนานปนระทึก ตอนจบก็สะพรึงไปอีกแบบ เรียกว่าดีน่ะครับ สองฉบับแรกนี่ถือว่าต้องหามาดูให้ได้หากท่านเป็นคอหนังไซไฟแนวมนุษย์ต่าวดาวบุก รับรองไม่ผิดหวัง
สองฉบับแรกสร้างใต้ร่มเงาของค่าย MGM ครั้นพอเวลาผ่านมาถึงยุค 90 ค่าย Warner Bros ก็จัดแจงเอาลิขสิทธิ์นิยายมาไว้ในครอบครอง ทำหนังโดยแปลงพล็อตนิดหน่อย ส่วนชื่อเรื่องก็ใช้อันเดียวกับชื่อนิยาย แต่ผลออกมาคือล้มเหลวรายได้ก็ไม่ไปไหน ความสนุกอะไรก็น้อยจนเรียกได้ว่าเป็นเวอร์ชั่นที่น่าผิดหวังที่สุด
และนี่คือการแก้มือครั้งใหม่
ตัวเอกของเรื่องคือแครอล แบนเนล (Nicole Kidman) จิตแพทย์สาวที่เริ่มสังเกตความผิดปกติของคนในเมือง ที่ดูไร้อารมณ์ความรู้สึกมากยิ่งขึ้นจนน่ากลัว แม้แต่อดีตสามีของเธอ (Jeremy Northam) ก็ยังดูเปลี่ยนไปอย่างไม่น่าเชื่อ เธอเลยเริ่มพยายามหาคำตอบร่วมกับเบน ดริสคอล (Daniel Craig) นักวิทยาศาสตร์กองทัพที่กำลังค้นคว้าเรื่องเชื้อไข้หวัดระบาดอย่างลึกลับอยู่เหมือนกัน
แต่ไปๆ มาๆ ไอ้เชื้อที่ว่ามันไม่ใช่เชื้อหวัดอย่างที่เข้าใจ แต่มันคือเชื้อสยองที่จะเปลี่ยนพันธุกรรมของมนุษย์ทั้งหมดระหว่างที่คนนั้นหลับไปหลังได้รับเชื้อ ทำให้คนติดเชื้อกลายเป็นคนใหม่ที่ข้างนอกเหมือนคนเก่า แต่ข้างในไม่เหลือความเป็นคนอีกต่อไป
แครอลกับเบน รวมถึงโอลิเวอร์ ลูกชายของเธอ (Jackson Bond) จึงต้องหาทาฝ่าวิกฤติอันนี้ไปให้ได้ กลยุทธสำคัญคือ อย่าหลับเด็ดขาด!
ถ้าจำไม่ผิดตอนมันเข้าโรงนี่กระแสนิ่งเนิ่บใช้ได้เลยครับ เหมือนจะบ่นปนไม่ชอบยังไงก็ไม่ทราบ จนทำเอาซะผมไม่ได้สนใจดูหนังดูหนังเรื่องนี้เท่าไหร่ ยิ่งชอบทำใจช่วงหน้าว่างานรีเมกมักไปไม่ถึงดวงดาวเท่าไหร่ ยิ่งเป็นหนังไซไฟคลาสสิกดั้งเดิมแบบนี้แล้วล่ะก็
แต่อีกใจก็คิดว่าไม่แน่ เพราะหนังรีเมกเหมือนกันอย่าง The Omen ใครๆ ก็เฉยๆ แต่ผมดันชอบเพราะทำออกมาได้มาตรฐานในหลายๆ ด้าน แม้จะเทียบของเก่าไม่ได้ทั้งหมด แต่ก็ยังดีดูได้ ไม่น่าเบื่อ ซ้ำยังมีการใส่รายละเอียดที่เพิ่มเติมจากต้นฉบับลงไปด้วย
สำหรับ The Invasion ผมค่อนข้างกระเดียดไปทางโอเคกับหนังแฮะ
อย่างแรกเลยคือโทนหนังมันไม่ได้เลื่อนเปื้อนน่ะครับ มันเดินไปในทางที่มันควรจะเดิน ทีละก้าวๆ เริ่มจากเปิดเรื่องบอกที่มา ตามด้วยเปิดตัวละคร เปิดปมให้คนดูรู้ แล้วก็คอยๆ นำเอาความตื่นเต้นไม่น่าไว้วางใจมาใส่ลงไปทีละหนุบทีละหนับ แล้วก็ขมวดปมก่อนจะปิดเรื่องตามแต่ผู้กำกับต้องการ
ประเด็นคือหนังแนวนี้มันเดาได้ครับ เขาเลยไม่ได้เน้นการเดินเรื่องหรือการทิ้งปม เพราะมันยากที่จะทำให้คนดูอ้าปากค้างไม่เหมือนเมื่อ 40 ปี ก่อนตอนทำเวอร์ชั่นแรก ตอนนั้นคนดูที่ไม่รู้ย่อมต้องตะลึงกับสิ่งที่หน้งบอกกับเราเอาไว้
แต่มายุคนี้หนังเอเลี่ยนบุกยึดร่างคนมีตั้งกี่เรื่องแล้วล่ะครับ แทบจะมีสองปีหนึ่งเรื่องด้วยซ้ำ หรือไม่ถ้าไม่มาในรูปของเอเลี่ยนก็จะมาในรูปของเชื้ออะไรสักอย่างจนคนดูจบทางได้หมด
หนังเลยเลือกทางที่ง่ายที่สุดโดยการ เดินเรื่องตามปกติธรรมชาติ ไม่ได้หวือหวามากมาย ซึ่งก็แน่ล่ะครับสำหรับคนที่ใฝ่หาความแปลกใหม่ล่ะเตรียมส่ายหน้าได้เลย
ที่ผมชอบก็เพราะมันเล่าง่ายตรงไปตรงมานี่แหละครับ ไหนๆ รู้อยู่แล้วว่าเรื่องมันเป็นเกี่ยวกับอะไรก็เล่ากันมาซื่อๆ เลย ไม่ต้องมาเสียเวลาหลบๆ ซ่อนๆ ผมว่าการหลบซ่อนเก็บงำเรื่องราวมันจะทำให้เรื่องอืดไปกว่านี้อีกนะครับ
จริงๆ หนังมีกำหนดฉายตั้งแต่ปี 2006 ครับ แต่เผอิญว่าเวอร์ชั่นแรกที่ Oliver Hirschbiegel ทำออกมานั้น ผู้สรางไม่ใคร่จะพอใจนัก อาจจะเพราะมันอืดไปนั่นแหละครับ จน WB ไปตามเอาพี่น้อง Andy และ Larry Wachowski แห่ง The Matrix มาช่วยกันเขียนบทเพิ่มเติมเรื่องราวใหม่ ก็คือในส่วนของแอ็กชันและความระทึกใจที่เราได้ดูกัน ส่วนหน้าที่กำกับเพิ่มก็ตกเป็นของ James McTeigue แห่ง V For Vendetta
ส่วนหนึ่งที่หนังมีความเร้ามากขึ้นก็เพราะเจ้าหลังนี่แหละครับ เพราะของเดิมที่ Hirschbiegel ทำจะเน้นแง่มุมของคนมากกว่า เลยอาจจะมีจังหวะที่ช้าหน่อย แต่ก็น่าสนใจนะครับ แต่ทาง WB ไม่อยากได้แนวนั้น เขาต้องการแนวระทึกเร้าใจเพื่อเพิ่มยอดคนดู หนังก็เลยออกมาแบบนี้ซึ่งก็ไม่เลวร้ายอะไรครับ เร้าใช้ได้
ส่วนที่ช่วยหนังไว้ได้เยอะก็คือดารานั่นแหละครับ Kidman ฝีมือเธอระดับไหนแล้วล่ะครับ ยอดเยี่ยมดีจริงๆ ท่าทางตอนอ่อนแอนี่น่าสงสารสุดขีด น่าเอาใจช่วยด้วย แต่ก็เป็นผู้หญิงที่แฝงความแกร่งไว้ด้วย จนเราเชื่อได้ไม่ยากว่าเธอพร้อมจะรับมือกับพวกต่างดาวทั้งกองทัพเพื่อช่วยให้ลูกเธอมีชีวิตรอด
แต่รายที่ได้ใจผมแบบแปลกๆ คือ Craig นี่แหละ ยอมรับนะครับว่าผมไม่ได้ชอบแกนักตอนทราบข่าวว่าจะเป็นเจมส์ บอนด์ ผมก็เป็นคนหนึ่งที่ไม่ใคร่จะเห็นด้วย แม้ดูหนังแล้วก็ยังตะขิดตะขวงใจ แต่พอมาบทในเรื่องนี้ยกนิ้วให้เลยครับแกดูดีจริงๆ ผมว่าแกหล่อมีเสน่ห์มากกว่าบทบอนด์อีกนะ ทรงผมแบบนี้เล่นเป็นจอมโจรเจ้าเสน่ห์ได้เลยอ้ะครับ ดูดี อ่อนโยน น่ารักดี แม้บทในเรื่องไม่มาก แต่โผล่มาทีไรผมว่าแกแสดงได้ดีนะ เหมือนทุกครั้งที่แกโผล่มาแกจะมีความอบอุ่นเป็นนัยว่าแกมาเพื่อดูแลนางเอกแผ่อยู่เสมอๆ
ส่วน Jeremy Northam ที่ไม่ได้เจอหน้าตั้งนาน ก็มาเล่นเป็นโทนต่างดาวเลยครับ ท่าทางนิ่งเนิ่บแบบคนถูกต่างดาวสิง ดูน่ากลัวดี, Jeffrey Wright ที่ร่วมงานกับ Craig ใน Casino Royale มาแล้ว เรื่องนั้นแกเป็นผู้ช่วยลับๆ ให้บอนด์ มาเรื่องนี้ก็ตามมาช่วยเบนอีก เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่พยายามไขปริศนายาถอนเชื้อต่างดาว
Veronica Cartwright ที่เคยปรากฏตัวใน Invasion of The Body Snatcher ฉบับปี 1978 ก็มาเล่นในเรื่องด้วยเป็นคนไข้ของแครอลที่สงสัยว่าสามีเธอจะไม่ใช่สามีเธออีกต่อไป นักดุหนังรุ่นเก่าน่าจะจำเธอคนนี้ได้ดี เพราะบทแบบตระหนกตกใจแบบนี้คุณเธอเล่นบ่อยมากๆ ในยุค 80 ที่จำได้แม่นๆ ก็จาก Alien และ The Witches of Eastwick
Roger Rees ดาราโหงวเฮ้งตัวร้ายระดับสูงจากเรื่อง Teen Agent ที่โผล่ในหนังใหญ่เยอะ อย่างใน The Pink Panther กับ The Prestige แต่คนน่าจะจำได้ไม่มาก มารับบทสมทบเล็กๆ เป็นโยริช นักคิดชาวรัสเซียที่ออกมาถกประเด็นน่าสนใจกับแครอลบนโต๊ะอาหาร
เรื่องที่โยริชพูดเกี่ยวกับความเป็นมนุษย์นั้นถือว่าเป็นอะไรที่หนังพยายามชี้ให้ขบกัน จนบางทีก็อดเคลิ้มตามที่พวกต่างดาวพูดไม่ได้ ว่าจะไม่ดีหรือไรหากคนเราเป็นหนึ่งเดียวกัน บนหน้าหนังสือพิมพ์ไม่มีข่าวฆาตกรรม ข่มขืน โกงกิน แบบที่พวกต่างดาวเป็น ที่กลมเกลียวเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ไม่เอาอารมณ์มาใช้ตัดสินสิ่งต่างๆ ในชีวิต โลกจะไม่สงบสุขกว่าหรือ
จริงๆ มุมนี้มองว่าเป็นการจิกกัดมนุษย์ก็ได้เต็มๆ เหมือนกัน เพราะเผ่าพันธุ์ต่างดาวก็คิดว่าตนเองเป็นเผ่าพันธุ์ที่ประเสริฐ ดีกว่ามนุษย์ไม่รู้กี่ร้อยเท่าที่สามารถสร้างโลกที่ไร้ความแตกแยกได้ สร้างสิ่งดีงามให้แก่โลกนี้ได้
แต่ขณะเดียวกันการจะทำในสิ่งที่ “อ้างว่า” จะทำให้โลกนี้ดีขึ้น ก็ต้องมีการเสียสละ โดยการฆ่าคน คร่าชีวิตมนุษย์ เสียเลือดเสียเนื้อ
การมองว่าตนประเสริฐสุดและทำทุกสิ่งโดยอ้างว่าเพื่อให้เกิดสิ่งที่ดีกว่าโดยไม่แคร์ว่าจะเป็นการทำลายสิ่งมีชีวิตอื่นหรือไม่ …. มันช่างคล้ายกับวิถีของมนุษย์อย่างเราๆ หลายคนเสียเหลือเกิน
ตอนจบเรื่องนี้เลยสรุปให้คิดซ้อนไปอีกขั้นว่า ไม่ว่าโลกจะโดนครอบคลุมโดยต่างดาว หรือเผ่าพันธุ์มนุษย์จะชนะได้แล้วทุกอย่างกลับมาเหมือนเดิม … อย่างไหนดีกว่ากัน?
หรือไม่ต่างกันเลย!
หนังชี้ชวนให้คิดว่าการจะสุดโต่งทางเหตุผลโดยไม่สนอารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์ (แบบพวกต่างดาว) มันก็ดูเป็นการกระทำที่เลือดเย็นมากไปนิด แต่ถ้าจะเอะอะก็ใช้อารมณ์เป็นเครื่องนำทางทุกอย่างสิ่งในชีวิต (แบบมนุษย์เดินดิน) มันก็คงหาความสมดุลย์ยาก เพราะอารมณ์ของแต่ละคนก็ย่อมจะเข้าข้างเจ้าของมันเองอยู่แล้ว
งานนี้ต้องจับสองขั้วมาเข้าโครงการหารสองลูกเดียว
นี่เลยเป็นอีกจุดที่ผมรู้สึกโอเคกับหนัง หลังจากฉบับก่อนๆ เน้นความสะพรึงและแทรกประเด็นคอมมิวนิสต์หรือไม่ก็ความเป็นมนุษย์ลงไป แต่ในเวอร์ชั่นนี้เป็นการวิพากษ์คนอย่างเราๆ ในยุคนี้สมัยนี้ได้อย่างน่าสนใจ
ไม่เฉียบขาดเท่าของเก่า แต่ก็ไม่เลวร้ายจนต้องส่ายหน้า
พอเรียกได้ว่าการแก้มือครั้งนี้ของ WB ทางเนื้อหาและเนื้อหนังพอสอบผ่านได้
แต่ถ้าเป็นทางรายได้ ยังคงพ่ายแพ้เหมือนเดิม!
สองดาวกว่าๆ ครับ
(6.5/10)
หมวดหมู่:รีวิวหนัง/ภาพยนตร์, Mystery, Sci-Fi, Thrillers