รีวิวหนัง/ภาพยนตร์

True Crime (1999) วิกฤติแดนประหาร

1367399468

สตีฟ เอเวอร์เรตต์ (Clint Eastwood) นักหนังสือพิมพ์วัยเก๋าที่กำลังมีปัญหากับภรรยา (อันเนื่องมาจากความเจ้าชู้ของตน) ล่าสุดเขาได้รับมอบหมายจากเจ้านายให้ไปสัมภาษณ์ แฟรงค์ บีชั่ม (Isaiah Washington) นักโทษผิวดำที่กำลังจะถูกลงโทษประหารด้วยการฉีดยาในอีกไม่กี่ชั่วโมง

และระหว่างการรวบรวมข้อมูลเพื่อนำไปใช้ในการสัมภาษณ์นั้น สตีฟก็พบว่าหลักฐานหลายๆ อย่างมีจุดชวนสงสัย มีคำให้การบางอย่างที่มีช่องโหว่ จนเขาเอะใจว่าแฟรงค์อาจไม่ได้ก่ออาชญากรรมฆ่าแคชเชียร์สาวดังที่ใครๆ คิด

สตีฟจึงมีเวลาอีกไม่กี่ชั่วโมงในการตามล่าหาความจริง ว่าตกลงแฟรงค์ฆ่าคน หรือแท้จริงแล้วเขาคือผู้บริสุทธิ์ที่อยู่ผิดที่ผิดเวลากันแน่

เรื่องนี้ปู่ Clint นำแสดงและกำกับเองครับ ดัดแปลงจากนิยายของ Andrew Klavan โดยที่ปู่ Clint ได้ตัดสินใจปรับบทบางอย่าง เช่น “แฟรงค์” ในนิยายนั้นคือชายผิวขาวครับ แต่ปู่ Clint ก็ขอเปลี่ยนให้เป็นผิวดำ เพื่อเพิ่มประเด็นสีผิวลงไปอีกหนึ่ง หนังจะได้เข้มข้นยิ่งขึ้น ซึ่งก็ยอมรับครับว่าในจุดนี้หนังมีความเข้มข้นเพิ่มขึ้นพอตัว เพราะจะมีเรื่องอคติของสีผิวมาเกี่ยวข้องให้เป็นประเด็น

ตัวหนังนั้นจริงๆ ก็ถือว่าดีตามมาตรฐานหนังปู่ Clint เขาล่ะครับ มีความเข้มข้น มีประเด็นสะท้อนสังคม สะท้อนความเป็นคนให้เราได้ลองขบคิดใคร่ครวญ แต่กระนั้นหนังก็ยังมาพร้อมจุดอ่อนสำคัญของหนังปู่ Clint นั่นคือ “ความอืด” ครับ หนังเดินเรื่องช้ามาก จนอืดเกินไปในหลายๆ ช่วง ก็เข้าใจครับว่าปู่เขาอยากเล่าชีวิตของสตีฟให้เราได้รู้จัก แต่พอดีเขาเล่านานและเยอะไป กว่าจะเข้าเรื่องการสืบคดีให้แฟรงค์นี่ก็นานพอดู ครั้นพอเข้าเรื่องการสืบคดีก็ยังคงอีดอยู่ครับ

จริงๆ หนังแนวนี้สิ่งๆ หนึ่งที่จะช่วยให้ดีกรีความสนุกมันสูงขึ้นก็คือความลุ้นน่ะครับ ทำให้เรารู้สึกว่าพระเอกต้องแข่งกับเวลาซึ่งจริงๆ ตามบทนั้นสตีฟก็ต้องแข่งกับเวลาจริงๆ นั่นล่ะครับ เพราะเหลือเวลาอีกนิดเดียวแฟรงค์ก็จะโดนประหาร แต่ด้วยลีลาการเล่าแบบเรื่อยๆ นั่นเองที่ทำให้หนังลุ้นไม่มากอย่างที่ควรจะเป็น (โดยเฉพาะตอนไคลแม็กซ์ที่ยังทำให้ลุ้นได้มากกว่านี้)

แต่ไม่ได้แปลว่าหนังไม่ดีนะครับ หนังน่ะดี มีประเด็น ดาราก็แสดงดี เนื้อเรื่องก็มีแก่นที่น่าสนใจ แต่ความอืดความเนิ่บช้า มันลดความสนุกและทอนความน่าติดตามลงไป ถ้าหนังเร้าหนังเร่งกว่านี้อีกสักนิดหรือมีความกระชับอีกสักหน่อย ก็น่าจะมีรสชาติอร่อยมากขึ้นครับ

ผมชอบสิ่งที่หนังนำเสนอนะครับ จริงๆ ชื่อเรื่อง True Crime มันสะท้อนสิ่งที่หนังมีได้หลายแง่นะครับ แง่แรกคือการค้นหาความจริงของคดีฆาตกรรมที่เกิดขึ้น ว่าใครกันแน่ที่ทำ และคนที่โดนจับนั้น เขาทำจริงหรือแค่อยู่ผิดจังหวะ หรือมันมีอะไรมากกว่านั้น

ในอีกแง่ก็คือการตั้งคำถามให้คนดูลองคิดครับ ว่าการที่เราเพิกเฉยต่อการสืบหาความจริงจนปล่อยให้คนบริสุทธิ์ต้องรับเคราะห์ หรือการมีอคติบางประการจนทำให้กระบวนการตัดสินคลาดเคลื่อน เช่น คิดลบกับคนบางคนเพราะเรื่องสีผิว แบบนั้นมันถือเป็นอาชญากรรมชนิดหนึ่งหรือไม่

แน่นอนครับว่าอาชญากรรมมีใหญ่มีเล็ก เราอาจมองว่าการมีอคติคือเรื่องเล็กๆ ที่ใครๆ ก็มีกัน แต่ก็ต้องยอมรับครับว่าความผิดพลาดขนาดใหญ่ๆ มากมายนั้น เกิดขึ้นโดยมีสาเหตุมาจากเรื่องเล็กๆ ที่เราคิดว่ามัน “ไม่เป็นอะไรหรอก” นี่แหละ

เช่นนั้นแล้วอาชญากรรมชนิดหนึ่งที่เกิดบ่อยและมักจะนำไปสู่อาชญากรรมใหญ่ๆ ก็คือ การเพิกเฉย ปล่อยปละสิ่งเล็กๆ ที่สมควรแก้ไข หรือว่าง่ายๆ ก็คือ “ผิดก็ผิดต่อไป ไม่เห็นต้องสนใจให้มากความ”

โซนนี้มีสปอยล์เล็กน้อยนะครับ อย่าอ่านข้อความสีน้ำเงินหากไม่อยากโดนสปอยล์ครับ

อย่างในเรื่องนี้ ถ้าสตีฟเพิกเฉยไม่สนใจอีกคน ชีวิตของแฟรงค์ก็คงต้องดับสิ้น ซึ่งในหนังเราจะได้เห็นคนมากมายพากันเพิกเฉยครับ แม้จะมีจุดชวนสงสัยแต่ก็ไม่มีใครอยากขุดค้น ทั้งที่มันเป็นเรื่องความเป็นความตายของชีวิตคนๆ หนึ่งแท้ๆ

สรุปว่านี่เป็นงานหนังแนวสืบสวนผสมดราม่าที่ดีครับ ปู่ Clint ทำได้ดีในแง่การจับประเด็น แต่การเล่าเรื่องอาจยังไม่ชวนให้ติดตาม อีกทั้งมีความอืดช้าเป็นอุปสรรคต่อการดู (สำหรับคนหลายๆ คน) แต่จุดที่ผมชอบมากๆ อย่างหนึ่งคือตอนจบครับ อารมณ์ของหนังในฉากจบมันเป็นการสรุปชีวิตของสตีฟได้อย่างน่าสนใจ และหนังก็ปิดเรื่องด้วยเพลง Why Should I Care ที่ร้องโดย Diana Krall ทั้งเนื้อหา ท่วงทำนอง และบรรยากาศในฉากจบมันเป็นอะไรที่ได้อารมณ์แบบพอเหมาะจริงๆ อีกอย่างคือเพลงที่ว่านี้ ปู่ Clint ร่วมแต่งด้วยนะครับ แต่งร่วมกับ Carole Bayer Sager และ Linda Thompson ก็ต้องยอมรับล่ะครับว่าปู่เขาเป็นคอแจ๊สพันธุ์แท้อีกคนหนึ่งจริงๆ และเพลงที่ว่านี้ก็ทำให้ผมรู้สึกต่อหนังในเชิงบวกมากขึ้นเลยล่ะครับ

มีเรื่องที่ผมอึ้งอีกนิดนึงก็คือ หนังลงทุนไปถึง $55 ล้านเลยครับ แอบอึ้งเหมือนกันว่าไปลงทุนหนักกับตรงไหนกันนี่ ในขณะที่รายได้ทำไปเพียง $16 ล้านครับ ก็ทำให้หนังเรื่องนี้เป็นอีกหนึ่งหนังล่มของปู่เขาไป

แต่ถึงกระนั้น หากท่านเป็นแฟนปู่ Clint ก็อยากให้ลองดูครับ หนังก็ถือว่าน่าพอใจ และมีฉากจบที่แลนดิ้งอารมณ์คนดูได้อย่างดีในระดับหนึ่งทีเดียว

สองดาวกว่าๆ ใกล้ครึ่งครับ

Star21

(6.5/10)