รีวิวหนัง/ภาพยนตร์

Alfie (2004) อัลฟี่ กิ๊กๆ กั๊กๆ ไม่รักสักที

Alfie2004_EN_noquote

บางทีหากเราดูหนังโดยรู้ว่าคนกำกับคือใคร เราก็อาจรู้สึกต่อหนังลึกกว่าที่ตาเห็น

Alfie คือ งานกำกับของ Charles Shyer ที่ผมปลื้มมาตั้งแต่ Father of the Bride โดยเขาทำร่วมกับ Nancy Meyers (ภรรยาขณะนั้น) ซึ่งหากใครอ่านรีวิวผมมาเรื่อยๆ คงทราบว่า Father of the Bride คือหนึ่งในหนังที่ผมรักที่สุดตลอดกาล

FotB เป็นหนังที่อบอุ่นมาก ว่ากันว่าชีวิตครอบครัวของ Shyer และ Meyers ก็น่ารักพอกัน แต่ในที่สุดพวกเขาก็แยกทางกันในปี 1998 โดยมี The Parent Trap เป็นผลงานที่สร้างร่วมกันเรื่องสุดท้าย

ที่น่าสนใจคือผลงานที่ทั้งคู่ทำหลังจากนั้น มักจะมีนัยสื่อถึงเหตุการณ์ในชีวิตของพวกเขาแทรกอยู่ในเนื้อหาเสมอ

อย่าง Meyers ในปี 2000 ก็กำกับ What Women Want ว่าด้วยผู้ชายที่คิดว่าตนคือบุรุษผู้ชนะใจสตรีทั้งโลก (ทั้งที่ความจริงผู้หญิงส่วนมากออกแนวรำคาญความหลงตัวเองของเขามากกว่า)

พอมาปี 2003 เธอก็ทำ Something’s Gotta Give ออกมา ว่าด้วยผู้ชายวัยดึกที่ยังคึกไม่เลิก ชอบคั่วเด็กสาวคราวลูกมาเป็นแฟน ซึ่งก็ให้บังเอิญที่มีข่าวว่า Shyer ก็กำลังคบหากับ Deborah Lynn ซึ่งอายุน้อยกว่าตนพอสมควร

ครั้นพอปี 2004 Alfie ก็ออกมาให้เราได้ผลกัน กับเรื่องของอัลฟี่ (Jude Law) พ่อพวงมาลัยเจ้าเสน่ห์ที่คบหาผู้หญิงมากหน้าหลายตา เปลี่ยนคู่ควงไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะสาวหวานอย่าง จูลี่ (Marisa Tomei), สาวปาร์ตี้อย่าง นิกกี้ (Sienna Miller), สาวอายุมากกว่าอย่าง ลิซ (Susan Sarandon) หรือสาวน่ารักอย่าง ดอรี่ (Jane Krakowski)

แน่นอนครับว่าเขาไม่คิดจะลงหลักปักฐานกับใคร คบเพียงสนุกๆ ไปเป็นช่วงๆ แต่แล้วเมื่อถึงจุดหนึ่งเขาก็เกิดคำถามกับตัวเองว่า นี่คือชีวิตที่เจ๋งจริงๆ อย่างที่เขาคิดหรือเปล่า?

ตัวหนังอาจไม่ได้เด็ดเต็มร้อยครับ แต่ได้ดาราฝีมือดีมาประชันกัน Law แสดงได้สุดยอดมากในบทชายเจ้าเสน่ห์ จอมกะล่อนแบบสุภาพบุรุษ และวาทศิลป์เป็นเยี่ยม แต่ครั้นพอถึงซีนอารมณ์ที่เขาเกิดความสับสนบางอย่าง Law ก็ทำให้เรานิ่งหรือเหงาไปกับเขาได้ (โดยเฉพาะซีนสรุปเรื่องราวในตอนท้าย)

ดาราสาวในเรื่องก็สุดยอดพอกันครับ ลื่นมากๆ และจุดที่เด็ดสุดๆ อีกอย่างคือดนตรีที่ได้ Mick Jagger (แห่งวง Rolling Stone), Dave Stewart (แห่งวง Eurythmics ที่พี่แกเล่นคู่กับ Annie Lennox) และ John Powell มาแท็กทีมกันทำ เลยได้ดนตรีที่พริ้ว สอดรับการอารมณ์แต่ละฉากอย่างดี

ไหนจะเพลง Old Habits Die Hard ที่พวกเขาแต่งมาเพื่อหนังเรื่องนี้โดยเฉพาะ ก็สุดยอดจนได้รางวัลลูกโลกทองคำสาขาเพลงประกอบยอดเยี่ยม (แต่กระนั้นก็กลายเป็นเพลงๆ แรกในประวัติศาสตร์ที่ชนะลูกโลกทองคำ แต่กลับไม่ได้เข้าชิงออสการ์)

และอีกเพลงที่ลืมไม่ได้คือเพลง Alfie ที่ประพันธ์โดย Burt Bacharach และ Hal David อันเป็นเพลงหลักของหนังต้นฉบับของเรื่องนี้ (ใช่ครับ เรื่องนี้เป็นหนังรีเมคจากหนังชื่อเดียวกันนี้เมื่อปี 1966 ฉบับนั้น Michael Caine แสดงเป็นอัลฟี่ครับ) สำหรับเวอร์ชั่นล่าสุดนี้ร้องโดย Joss Stone ครับ นำมาเปิดตอน End Credits ซึ่งก็รองรับอารมณ์เหงาๆ ของหนังได้อย่างพอดีพอดิบทีเดียว

Alfie-2004-DI

ตัวหนังอาจไม่ได้สนุกมากมายนะครับ แต่มันดูเพลิน ดูพอดี และดูเหมาะกับสิ่งที่หนังต้องการสื่อ ซึ่งก็แน่ล่ะครับว่าหนังพูดถึงปลายทางของคนเจ้าชู้ ที่แม้ตอนคบหาสาวสวยไปเรื่อยมันจะสนุกแสนเพลินก็เถอะ แต่แท้จริงแล้วเราใฝ่หาอะไร?

เราอยากได้อ้อมกอดชั่วครั้งที่พร้อมจะหายไปในยามเช้า หรือเราปรารถนาใครสักคนที่พร้อมจะมอบอ้อมกอดแห่งรักให้เรา ทั้งวันเศร้าและวันสุข?

เราอยากได้ชีวิตที่เปลี่ยนคู่ควงไปเรื่อยๆ หรือเราอยากได้คนพิเศษแค่คนเดียวก็พอ คนเดียวที่ทำให้เรารู้สึกว่าชีวิตมันมีอะไรให้ร่วมค้นหาไปด้วยกัน ทุกวันๆ?

เราอยากได้ชีวิตที่อิสระล้วนๆ ไร้ความผูกพันใดๆ หรือเราอยากได้ใครสักคนสัมผัสได้ถึงความเป็นเรา และทำให้เรารู้สึกว่ามีตัวตนบนโลกกลมๆ ใบนี้… ทำให้รู้สึกว่าเราไม่ใช่เพียงหมอกควัน?

แน่นอนครับว่าทุกคนย่อมนิยามความหมายของชีวิตต่างกันไป ย่อมนิยามความปรารถนา ณ บางขณะต่างกันไป ซึ่งมันคงไม่มีอะไรผิดถูกชัดเจน จะมีก็เพียง “ผลลัพธ์แห่งการใช้ชีวิตในทิศทางนั้นๆ” ซึ่งไม่ว่ามันจะลงเอยอย่างไร เราก็ต้องพร้อมรับ เพราะเราคือคนเลือกมัน

จะเจ้าชู้ต่อไปก็ย่อมได้ครับ หรือจะหาใครสักคนที่สอนให้เราสะกดคำว่า “หยุด” เป็น ก็ได้เหมือนกัน

แต่ยังไง ถ้าหากท่านจะเลือกทางแรกแล้วล่ะก็… ผมขอให้ลองดู Alfie แบบสนุกๆ สักรอบหนึ่งนะครับ

ยอมรับว่าตอนผมดูหนังเรื่องนี้จบเป็นรอบแรก มันรู้สึกอยากกอดตัวเองขึ้นมาเลย มันได้อารมณ์ดีจริงๆ และถ้าจำไม่ผิดผมน่าจะได้นิสัย “ชอบหาเรื่องเดินคนเดียวในบางอารมณ์” ก็จากเรื่องนี้นี่แหละ

หนังอาจไม่ได้ดีเด่อะไรมากนะครับ มันเพียงโดนในบางอารมณ์และความรู้สึกของผมเท่านั้นเอง

อย่างไรก็ดี พอ Shyer ทำเรื่องนี้แล้ว เขาก็แต่งงานกับ Deborah Lynn ครับ แล้วก็อยู่กินมานับ 10 ปี มีลูกแล้ว 2 คน จึงอดไม่ได้ที่จะคิดว่านัยสรุปของหนังมันสื่อถึงอะไรบางอย่างในใจของ Shyer หรือเปล่า (นัยแห่งคำว่า “หยุด”)

ที่น่าสนใจอีกอย่างคือพอปี 2006 Meyers ก็จับเอา Law ไปแสดงใน The Holiday แต่บทที่เล่นกลับเป็นคุณพ่อแสนดี แฟมิลี่แมนที่รักจริงอะไรจริง ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนั้น Meyers คิดอะไรอีกหรือเปล่า (แต่เชื่อว่าเจ๊แกน่าจะคิด ตอนทำ It’s Complicated)

จนถึงตอนนี้ Meyers ยังไม่แต่งงานใหม่ครับ ในขณะที่ Shyer ได้ข่าวว่าเขาแยกทางกับ Lynn ไปแล้ว… อันว่าชีวิตคู่ มีปัจจัยที่หลากหลาย ณ นาทีนี้กับอีกหลายปีถัดไป อะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้

ความไม่แน่นอนคือความแน่นอน คงต้องว่าอย่างนั้น

… เขียนเรื่องหนังลงทางธรรมอีกแล้ว (5555)

เอาเป็นว่าหนังเรื่องนี้เพลินกับดารา อร่อยกับดนตรีและเพลงเพราะๆ

และสาระติดปลายนวมเล็กๆ ที่ชี้ชวนให้เราหันมามองชีวิตตนเองอีกสักทีสองที

ไม่ได้มองว่าดีหรือไม่ดี

แต่มองให้เห็นว่า “ชีวิตเรา มันเป็นยังไง?”

สองดาวครึ่งครับ

Star22

(7/10)

alfie