หนังแวมไพร์อีกเรื่องจากรั้วค่าย Hammer Film โดยคราวนี้แวมไพร์ตัวร้ายหาใช่เพศชายอีกต่อไป แต่เป็นเรื่องของ คาร์มิลล่า เจ้าแห่งแวมไพร์ในตำนานอีกหนึ่งตนที่เป็นเพศหญิง (ที่ชอบเลือกเหยื่อที่เป็นเพศหญิงด้วยกัน) แต่ก็มีความร้ายกาจและเจ้าเล่ห์ไม่ใช่น้อยทีเดียว
หนังเปิดเรื่องให้เรารู้จักกับบารอน ฮาร์ท็อก (Douglas Wilmer) ที่ตัดสินใจมาเป็นนักล่าแวมไพร์เพราะเขาต้องสูญเสียน้องสาวไปด้วยคมเขี้ยวของผีดูดเลือด และหลังจากการสยบแวมไพร์สาวตนล่าสุด เขาได้แต่หวังว่านั่นจะเป็นการเผชิญหน้ากับแวมไพร์ครั้งสุดท้าย
แต่แล้วหลายปีต่อมาในรัฐสติเรีย (ประเทศออสเตรีย) ท่านนายพล ฟอน สปีลส์ดอร์ฟ (Peter Cushing) กลับต้องสูญเสียลูกสาวไปด้วยคมเขี้ยวผีดูดเลือดเช่นกัน และแวมไพร์ตนนี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นเพื่อนของลูกสาวที่มีนามว่า มาร์ซิลล่า (Ingrid Pitt) และเมื่อลูกสาวของท่านนายพลหมดลมหายใจ มาร์ซิลล่าก็หายไปจากบ้านโดยไร้ร่องรอย
และล่าสุด มาร์ซิลล่าที่ตอนนี้เปลี่ยนชื่อเป็น คาร์มิลล่าได้เดินทางมาตีสนิทกับ เอ็มม่า (Madeline Smith) ลูกสาวคนสวยประจำตระกูลมอร์ตัน ก็เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าเหยื่อรายต่อไปคงหนีไม่พ้นเป็นเอ็มม่าแน่นอน ทำให้บารอน ฮาร์ท็อกและท่านนายพลต้องแข่งกับเวลา ตามร่องรอยของแวมไพร์สาวตัวนี้ให้ทัน ก่อนจะมีจำนวนศพที่ไร้เลือดปรากฏขึ้นมาอีก
หนังสร้างจากนิยายแนวโกธิคที่สุดคลาสสิคเรื่อง Carmilla ของ Joseph Sheridan Le Fanu ซึ่งถือกำเนิดก่อนนิยาย Dracula ของ Bram Stoker ถึง 25 ปีครับ
ตัวหนังเองก็ถือว่าทำได้ดีในระดับหนึ่ง ได้กลิ่นอายลึกลับ อีโรติค ผสมกับความน่ากลัว แต่ความตื่นเต้นเร้าใจอาจไม่ถึงกับมากเท่าหนังชุด Dracula ส่วนหนึ่งก็เพราะเรื่องของ Carmilla นั้นจะไม่ได้เน้นที่ความน่ากลัวหรือความโหดร้ายของแวมไพร์ แต่จะนำเสนอในเชิงที่ว่า “แวมไพร์” นั้นคือปีศาจที่ต้องคำสาป คือปีศาจที่อ้างว้างเปลี่ยวเหงา สิ่งที่แวมไพร์ต้องการนั้นไม่ได้มีเพียงเลือด แต่ต้องการใครสักคนมาเคียงข้าง อยู่กับตนไปนานๆ แต่พอดีว่าสัญชาตญาณแวมไพร์นั้น ไม่ว่าจะอย่างไรก็ต้องแสดงความรักด้วยการฝังคมเขี้ยวและการสูบเลือดโดยที่ไม่อาจห้ามตนเองได้ ดังนั้นถ้าแวมไพร์ตนไหนไปรักใคร ไปชอบใคร ก็มักจะอดไม่ได้ที่จะคร่าวิญญาณของคนที่รักอย่างช้าๆ ไปด้วย
ดูๆ ไปแล้วชีวิตของคาร์มิลล่าเลยออกแนวรันทดน่ะครับ จริงๆ เท่าที่ดูมาผมว่าชีวิตแวมไพร์ส่วนใหญ่ก็รันทดหมดครับ ขนาดยุค 2010 แบบ Twilight นี่ก็ยังรันทดไม่เสื่อมคลาย แต่หนังส่วนมากไม่ค่อยได้สื่อถึงประเด็นนี้ครับ จะไปเน้นเรื่องความน่ากลัว ความโหด หรือไม่ก็การไล่ล่าแวมไพร์ซะมากกว่า แต่สำหรับ The Vampire Lover แล้วถือเป็นหนังแวมไพร์ไม่กี่เรื่องที่จับประเด็น “แวมไพร์สาว” มาเล่น และยังเล่นกับประเด็นความอ้างว้่างไว้ในระดับที่มากพอตัว
ด้วยประเด็นที่บอกมาทำให้ The Vampire Lover เรื่องนี้มีความโดดเด่นแตกต่างจากหนังแวมไพร์ๆ อื่นๆ อยู่พอตัวครับ มีปมดราม่าแทรกเข้ามา แม้แต่ตัวบารอน ฮาร์ท็อกเองก็ยังแอบมีดราม่ามาเล่านิดๆ ส่วนลีลาการนำเสนอแม้จะไม่ถึงกับได้อารมณ์โกธิคแบบเต็มๆ แต่ก็ถือว่าได้กลิ่นอายในระดับที่น่าพอใจ ดาราในเรื่องคนที่แสดงได้ดีที่สุดก็คงหนีไม่พ้น Pitt ที่แววตาเธอนี่เหมือนสั่งได้ครับ ตอนไหนดูโหดก็น่ากลัวจริง ตอนไหนเศร้าก็ชวนให้สลดใจจริง
ดาราคนโปรดของผมอย่าง Cushing กลับไม่ค่อยมีบทอะไรมาก และก็ไม่ค่อยเด่นสักเท่าไรด้วย สำหรับลีลากำกับของ Roy Ward Baker (Quatermass and the Pit, Scars of Dracula, Asylum
และ The Legend of the 7 Golden Vampires) ก็ถือว่าดีตามมาตรฐานครับ
หนังเรื่องนี้ถือเป็นตอนแรกของ Karnstein Trilogy หรือไตรภาคที่ว่าด้วยเรื่องของแวมไพร์คาร์มิลล่า ซึ่ง คาร์นสไตน์นั้น ก็คือนามสกุลของ คาร์มิลล่านั่นเอง
เหมาะสำหรับคนชอบแวมไพร์ในอีกมุมหนึ่ง (ที่ไม่ใช่มุมน่ากลัวอย่างเดียว) มีอะไรน่าสนใจพอตัว แต่กระนั้นถ้าถามว่าดีมากหรือไม่ ก็คงต้องบอกว่าดีในระดับหนึ่ง แต่ยังไม่ถึงกับดีมาก แค่มีกลิ่นอายประเด็นให้พูดถึงเท่านั้นเอง
ปล. หนังเรื่องนี้มีชือตอน CVD เอามาออกวีดีโอใหม่ว่า “พิศวาสแวมไพร์” ครับ
สองดาวกว่าค่อนไปทางครึ่งครับ
(6.5/10)